"องอาจ" รองหัวหน้า ปชป.โว นโยบาย 'สตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี' ของปชป.เพิ่ม 3 แต้มต่อยอดธุรกิจขยายตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย สามารถแข่งขันเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ

วันที่ 1 พ.ค. 2566 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ว่า พรรค ปชป.มีนโยบายสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี ( Startup – SME) ต้องมีแต้มต่อ 3 แสนล้าน เพราะถือเป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ เช่น ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น จากข้อมูลปี 2565 พบว่า สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี มีผู้ประกอบการ มากกว่า 3 ล้านราย ก่อให้เกิดการจ้างงานเกือบ 13 ล้านคน มีมูลค่าการส่งออกกว่า 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของยอดการส่งออกรวมตลอดปี นโยบายนี้ ต้องการยกระดับขีดความสามารถของ สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี ไทยให้สามารถแข่งขันเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยพรรคปชป. จะมีมาตรการเพื่อเป็นแต้มต่อให้สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี 3 ต่อคือ

...

“แต้มต่อที่ 1 ด้านการผลิต สนับสนุนให้ Startup – SME มีการบริหารธุรกิจที่ทันสมัย บนพื้นฐานของนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการดำเนินธุรกิจ สร้างการยอมรับของตลาด และมุ่งปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation)

แต้มต่อที่ 2 ด้านการตลาด ผลักดัน Startup – SME ให้มีโอกาสเข้าสู่ตลาดทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยให้สิทธิพิเศษด้านการตลาด เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการของตนต่อตลาดภายนอกได้

แต้มต่อที่ 3 จัดตั้งกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กลุ่ม Startup – SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับการพัฒนา ต่อเติม ขยายกิจการตลอดจนการเพิ่มทุนธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้กับประเทศต่อไปได้

ทั้งนี้ พรรคเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศที่เดินหน้ามาได้อย่างต่อเนื่องนั้น เกิดจากแรงขับเคลื่อนอย่างสำคัญของสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีไทย ที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ที่สอดประสานสร้างสรรค์เศรษฐกิจไทยให้รุดหน้าไปพร้อมๆ กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคส่วนอื่นๆ พรรคปชป.จึงได้นำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้ประเทศเจริญเติบโตยิ่งขึ้น” นายองอาจ กล่าว