ไทยรัฐดีเบต เลือกตั้ง 66 “ชัยวุฒิ” อัด “วิโรจน์” สอบตกผู้ว่าฯ กทม. เลยไม่เข้าใจการปกครองส่วนท้องถิ่น-ภูมิภาค เจอสวนกลับ กทม.เป็นการปกครองพิเศษ อย่าเชื่อคนกินไข่ต้มกับข้าวคลุกน้ำปลา
วันที่ 28 เมษายน 2566 เมื่อเวลา 17.30 น. ไทยรัฐดีเบต เลือกตั้ง’66 #เริ่มใหม่ไทยแลนด์ กับไทยรัฐ ได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ซึ่งครั้งนี้จัดดีเบตประชันวิสัยทัศน์และนโยบายแบบสัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ตัวแทนทั้ง 7 พรรคการเมืองประกอบด้วย
1. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
2. นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
3. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
4. นายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
5. นายหิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ประจำภาคเหนือ
6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
7. น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย
ในส่วนของประเด็นว่า พรรคการเมืองไหนไม่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เริ่มจาก นพ.ชลน่าน ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายกระจายอำนาจบางจังหวัดที่พร้อม ผ่านการประเมินแล้วปรับให้สามารถเลือกผู้ว่าฯ ปกครองตนเองได้ ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด
...
ขณะที่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ประเทศไทยการปกครองมีส่วนกลาง คือรัฐบาลกลาง ส่วนภูมิภาคคือผู้ว่าฯ นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการทุกจังหวัดที่เป็นตัวแทนของทุกกระทรวง และท้องถิ่นซึ่งมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นายกเทศมนตรี องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อยากฟังเหมือนกันว่าเขาเลือกตั้งผู้ว่าฯ แล้วต่อไปรัฐบาลกลางจะประสานกับข้าราชการส่วนภูมิภาคอย่างไร ระบบนี้จะหายไปหรือไม่ จริงๆ กระจายอำนาจไปที่นายก อบต.ก็ได้ เพราะมาจากการเลือกตั้ง เพิ่มงาน เพิ่งงบที่คิดว่าเหมาะสม แต่ผู้ว่าฯ คือการบริหารส่วนภูมิภาค ถ้าจัดการเลือกตั้งรูปแบบจะเปลี่ยนไปเพราะไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาลกลาง เพราะวันที่คุณเป็นรัฐบาลจะบริหารประเทศอ่างไรถ้าผู้ว่าฯ ไม่ได้มาจากรัฐบาลกลาง พร้อมยกตัวอย่าง ถ้าผู้ว่าฯ มาจากพรรคหนึ่ง รัฐบาลมาจากอีกพรรค แล้วไม่ถูกกัน หรือผู้ว่าฯ ทำอะไรขัดใจจะทำอย่างไร เพราะระบบแยกกันแล้ว
นพ.ชลน่าน ตอบว่า “เราต้องยอมรับเรื่องการกระจายอำนาจ เราเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ถ้าเขาสามารถที่จะปกครองตนเองได้จากอำนาจของเขา แม้หน่วยย่อยที่สุดเราก็ควรจะต้องส่งเสริม นี่คือหลักการ แล้วเราก้เชื่อมั่นว่าถ้าเขาปกครองตนเองภายใต้บริบทที่มีความพร้อมทุกอย่าง เขาจะดีแลเขาได้ดีที่สุด อย่าเอามิติการเมืองไปบอกว่าถ้ามาจากพรรคนี้แล้วจะขัดแย้งกับพรรคนู้น นั่นเป็นความคิดที่ล้าสมัยมาก นั่นคือไม่ยอมรับอำนาจประชาชน”
จากนั้น นายวิโรจน์ ยกตัวอย่างถึง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่ายังทำงานกับรัฐบาลที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้เลย แล้ว นายชัชชาติ ก็มาจากการเลือกตั้ง ก็ทำงานได้ ตนเองเจอวาทกรรม การเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดจะเป็นการแบ่งแยกดินแดน ถามว่าวันนี้กรุงเทพฯ เป็นประเทศกรุงเทพฯ หรือเป็นกรุงเทพมหานครในประเทศไทย อย่าเอาวาทกรรมแบบนี้มาใช้ ผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็สามารถทำงานกับรัฐบาลกลางได้ เราให้อำนาจในการดูแลสาธารณูปโภคทั้งหมด แต่ในการเรื่องศาล ทหาร การทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ หน่วยเงินตรา ยังอยู่กับรัฐบาลกลาง ดังนั้น ทำงานได้ไม่มีปัญหา เพราะมีกฎหมายคุ้มครองกำกับดูแล
ขณะที่ นายชัยวุฒิ ได้เหน็บ นายวิโรจน์ ว่า “พอดีคุณวิโรจน์ไม่เข้าใจเพราะไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งผู้ว่าฯ กทม. เป็นการปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ใช่การปกครองส่วนภูมิภาค ศักดิ์ศรีเหมือนนายก อบจ. เลือกมาเพื่อบริหารท้องถิ่น ที่เราพูดถึงคือการบริหารราชการระบบส่วนภูมิภาค ที่เขาไม่เข้าใจเพราะเขาไม่เป็นผู้ว่าฯ กทม.ไง สอบไม่ผ่าน เข้าใจไหม คนละแบบ”
ทางด้าน น.ต.ศิธา กล่าวในเรื่องนี้ว่า ในการปฏิบัติเรามีการเลือกตั้งนายก อบจ. ส่วนผู้ว่าฯ กระทรวงมหาดไทยส่งมา เห็นด้วยว่าต้องมีการกระจายอำนาจ ผู้ว่าฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ต้องมีแค่คนเดียว ส่วนคนที่กระทรวงมหาดไทยส่งมาที่จังหวัดเขาเป็นเหมือนกึ่งๆ ฝ่ายค้าน เป็นคนที่ต้องมากดูว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบ โยงเข้ากับส่วนกลาง อีกประเด็นที่เป็นห่วง คือการเลือกตั้งนายก อบจ. หรือผู้ว่าฯ ที่จะเกิดขึ้น เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป อยู่ที่กระแส กระสุน และบ้านใหญ่ ถ้ายังมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงแบบโจ่งครึ่ม ก็จะเป็นคนกลุ่มเดิม ต้องแก้ไขตรงนี้ ต้องกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มีการตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างแท้จริง
นายหิมาลัย ระบุว่า กระจายอำนาจพรรครวมไทยสร้างชาติมีแนวคิดในด้านนี้ ที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำมาตลอด เรื่องกระแส กระสุน บ้านใหญ่ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาการมีผู้มีอิทธิพลค่อนข้างสูง ฝ่ายค้านในท้องถิ่นมีกำลังน้อย ชาวบ้านไม่ค่อยกล้าค้าน แต่ปัจจุบันดีขึ้นความรุนแรงลดลง ความคิดคนเปลี่ยนไป ประชาธิปไตยแพ้ได้ ชนะได้ ท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ มีตัวอย่างคนทำผิดต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งในจังหวัดที่มีความพร้อม ก็พร้อมสนับสนุน โดยต้องดูเป็นจังหวัดในบริบทข้างหน้า แต่การจะมาบีบรัฐบาลว่าต้องเพิ่มงบประมาณเป็นเท่าไหร่นั้นไม่ได้ ต้องดูที่ความพร้อมต่างหาก ถ้าพร้อมก็ต้องเพิ่มให้
ต่อด้วย นายสามารถ มีการกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย เห็นด้วยกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ยึดตามรัฐธรรมนูญ 2540 ทุกรัฐบาลทำมาตลอด กระจายงาน คน และงบ ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ หรือดูความเหมาะสมการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษ ต้องดูความพร้อมของแต่ละพื้นที่ อาจจะไม่ถึงขั้นเลือกผู้ว่าฯ เพราะต้องโยงจากส่วนกลางลงมาท้องถิ่น เป็นเงื่อนไขที่ต้องมาพูดคุย ถ้าทำทีเดียวจะเป็นปัญหา ยกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ เช่น กทม. พัทยา
นอกจากนี้ นายนราพัฒน์ เผยว่า แบรนด์เรื่องกระจายอำนาจคือพรรคประชาธิปัตย์ ทำมาตั้งแต่สมัย นายชวน หลีกภัย แต่ติดชะงักต้อองกลับไปทำผู้ว่าฯ ซีอีโอ ทำให้ท้องถิ่นโตช้าและไม่โต ทุกคนเลยเรียกร้อง ต้องดูว่ามีความพร้อมแค่ไหน กระจายงบไปตามหัวประชากร จังหวัดเล็กๆ ได้งบน้อย ซึ่งมหานครคือส่วนการปกครองที่เหมือน กทม. กระจายสถานที่ราชการเข้าไป จังหวัดไหนที่เป็นมหานครได้ เช่น เชียงใหม่ แต่คงความเป็นภูมิภาคเอาไว้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านยังอยู่ได้ เพราะต้องการความมั่นคง ผู้บริหารมาจากคนในพื้นที่
ในเวลาต่อมา นายวิโรจน์ ขอกล่าวใช้สิทธิพาดพิงว่า “คุณชัยวุฒิพูดอีกแล้วว่ากรุงเทพมหานครเป็นท้องถิ่น นี่คือความไม่เข้าใจ กรุงเทพมหานครเป็นรูปแบบการปกครองพิเศษ คือคนละเรื่องนะ คุณไปดูดีๆ มิน่าถึงไม่ได้รับการคัดเลือกให้มาลงผู้ว่าฯ แข่งกับผมไง ผมจะได้ลงแข่งเนี่ย ขอโทษนะคุณไปอ่านหนังสือ กรุงเทพมหานครเป็นรูปแบบการปกครองพิเศษ เอางี้นะ แล้วถามว่าจะยังไง 1.ไม่มีใครตกงาน เพราะข้าราชการส่วนภูมิภาคจะถูกถ่ายโอนมายังท้องถิ่น และจะมีปลัดจังหวัดอย่างที่คุณศิธาพูด ปลัดจังหวัดก็จะทำหน้าที่ประสานงานกับราชการส่วนกลางได้ เคลียร์กันตรงนี้นะ ลูกๆ หลานๆ ที่ดูทีวี กรุงเทพมหานครไม่ใช้ท้องถิ่น เป็นรูปแบบการปกครองพิเศษ อย่าไปเชื่อคนกินไข่ต้ม 1 ซีกกับข้าวคลุกน้ำปลานะ”
ในช่วงต่อมาตัวแทนของพรรคการเมืองยังคงแสดงวิสัยทัศน์อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่นั้นเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในจังหวัดที่มีความพร้อม ต่างจาก นายชัยวุฒิ ที่ระบุว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ จึงไม่มีคำตอบให้.