เปิดปากกับภาคภูมิ พูดคุยกับ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ งัดนโยบายประกันรายได้ สร้างงาน สร้างคน สร้างชาติ หวังเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ส่วนเรื่องการจับขั้วรัฐบาลให้รอฟังเสียงประชาชนก่อน

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 12 เมษายน 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในประเด็นการเลือกตั้ง 2566

คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เผยว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ จะเก่าแก่ที่สุดแล้ว ยังยั่งยืนที่สุดในประเทศ ส่วนประเด็นซูเปอร์โพล เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตที่ตนนำมาอันดับหนึ่ง ก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน ที่เห็นผลงานของพรรคที่ผ่านมา เพราะหลังจากนี้การเป็นเป็นนายกฯ และรัฐบาล ก็ต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริต และเดินหน้าประชาธิปไตย แบบไม่โกง

ส่วนการประกันรายได้ของเกษตรกร ก็เป็นนโยบายสำคัญของประชาธิปัตย์ ที่เดินหน้าขับเคลื่อนมาตลอด 4 ปี ซึ่งเราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จริง ในเที่ยวนี้ถ้าเราเป็นนายกฯ ประชาธิปัตย์เป็นคนจัดตั้งรัฐบาล ก็จะเดินหน้าทำเรื่องประกันรายได้ต่อไป

...

สำหรับโพล ส.ส. ที่ประชาธิปัตย์ไม่ได้ติดกลุ่มนำอันตับต้น เราก็ทำโพลของตนเอง มั่นใจว่าจะได้มากกว่าคราวที่แล้วพอสมควร เพราะจากการลงพื้นที่ พบว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากขึ้นจากพี่น้องประชาชน แม้แต่ในภาคเหนือที่คราวที่แล้วได้ที่นั่งเดียว เชื่อว่าครั้งนี้จะได้เพิ่มขึ้นหลายที่นั่ง

ส่วนในกรุงเทพฯ มั่นใจว่าจะได้หลายเขต เพราะดูจากผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ คราวที่แล้ว ก็พบว่าคนที่ได้สังกัดพรรคการเมืองของพรรคเราก็ได้มากที่สุด อย่าง ส.ก. เราก็ได้ตั้ง 9 ที่นั่ง ในครั้งนี้ตั้งเป้าจำนวน ส.ส. ว่ามากกว่า 52 คน คิดว่าได้มากกว่าเดิมเยอะพอสมควร อย่าง ภาคใต้ เรามั่นใจว่าเป็นไปได้จะถึง 40 บวก ส่วนอีสานเที่ยวนี้ ก็เกิน 2 ที่นั่ง เรานั่งประเมินจากข้อเท็จจริงทั้งหมด พอประกาศนโยบายออกไป ก็ได้รับผลตอบรับดีมาก หากไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ หัวหน้าพรรคก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว

สำหรับเรื่องที่ขอคะแนนเสียง เพราะตนลงพื้นที่หลายจังหวัด และหลายคนก็พูดตรงกันว่า ขอโทษที่คราวที่แล้วไม่ได้เลือก แต่เที่ยวหน้าจะเลือก ตนคิดว่าคราวที่แล้วเป็นกรณีพิเศษทางการเมือง เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังรัฐประหาร แล้วยังมีควันหลงขั้วซ้าย-ขวา พอเราบอกว่าไม่เอาซ้ายขวา สุดท้ายที่นั่งที่ได้ก็เป็นอย่างที่เห็น แต่เที่ยวนี้ตนคิดว่าการเมืองมันคลี่คลายแล้ว เป็นการแข่งขันที่เป็นทางประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น คนก็ได้ย้อนกลับมาตั้งหลักมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาที่ออกมาพูดขอคะแนนให้คนกลับมาเลือก

คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กล่าวต่ออีกว่า ประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในไม่กี่พรรค ที่มีกรอบยุทธศาสตร์ในการนำพาประเทศชัดเจน คือ สร้างเงิน สร้างคน และสร้างชาติ สร้างเงินก็ด้วยนโยบายทั้งหมด 16 นโยบายย่อย ทั้งเรื่องการประกันรายได้เกษตรกร อย่าง ข้าวเจ้า เราให้ประกันเกวียนละหมื่น รัฐบาลจ่ายขาด ไม่ต้องเอาข้าวจากชาวนา เพียงแค่ไปขึ้นทะเบียนกับ ธ.ก.ส. เรื่องยางก็เช่นเดียวกัน รวมถึงพืชและผลไม้อื่นๆ

การประกันรายได้ 5 ชนิด เงินส่วนต่างของรัฐบาลเป็นการจ่ายขาด เพื่อดูแลให้ชาวนาคงอาชีพตัวเองไว้ ปีหนึ่งใช้งบแสนกว่าล้าน โดยตั้งงบประมาณชดใช้แต่ละปีไป เหมือนกับการจำนำข้าว แต่ให้มันเป็นไปตามกลไกตลาด ทำให้เกษตรกรมีเม็ดเงินเข้ากระเป๋า เศรษฐกิจขับเคลื่อนและเงินหมุนเวียนได้ จะเห็นว่า 4 ปีมานี้ ม็อบเกษตรกรเกือบจะหายไปเลย เพราะเราสามารถจัดการได้ดี คือระบบจัดการเศรษฐกิจของประชาธิปัตย์ เป็นการแจกเบ็ด

ถ้าเราเป็นนายกฯ จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเร็วขึ้น ก็ต้องเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จึงต้องฉีดเม็ดเงินลงไป หนึ่งล้านล้านเพื่อให้เศรษฐกิจโตได้ โดยมาจาก 5 แหล่ง คือ จัดตั้งธนาคารหมู่บ้านชุมชน ชุมชนละ 2 ล้าน เพื่อเป็นแหล่งเงินให้ประชาชนในการสร้างเงินต่อ, กองทุนบำเหน็จราชการ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, สตาร์ทอัพ SME และสุดท้าย 16 นโยบายย่อยของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ไปก่อหน้ีหรือเก็บภาษาเพิ่ม เพื่อเอามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สุดท้ายเงินก็หมุนกลับมาหากมันโต

และยังมีเรื่องของอาชีพประมง ที่ได้รับผลกระทบมากจากการทำสัญญามาตรฐาน IUU ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ส่วนปัญหาเรื่องที่ดิน การออกโฉนดไม่ได้ ก็จะออกให้ โดยเร่งรัดกระบวนการที่ดินภายใน 4 ปี ส่วนที่ดินของรัฐเราจะออกกรรมสิทธิ์ทำกินให้ สำหรับนโยบายสร้างคน เราเริ่มต้นเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ ถัดจากนี้เราจะเดินหน้าเรียนฟรีถึง ป.ตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการ และการใช้อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุดทั่วประเทศ เพื่อสร้างเงินให้ในชุมชน และนักเรียนนักศึกษาเข้าถึงความรู้ ส่วนชมรมผู้สุงอายุในหมู่บ้าน ก็จะมีเงินส่งเสริมให้

สำหรับในเรื่องการจับขั้วตั้งรัฐบาล ในครั้งก่อนพรรคประชาธิปัตย์เราไปร่วมตามวิธีทางรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติของประชาชนมาแล้ว ไม่ใช่ร่วมกับคณะปฏิวัติ ซึ่งมันผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว เราก็ทำตามแนวทางประชาธิปไตยปกติที่กำหนดไว้ แล้วเราก็ทำหน้าที่ได้ดี มันไม่ได้สูญเปล่า

ส่วนในรัฐบาลหน้าคงไม่ประกาศว่าจะไปร่วมกับใคร รอผลการเลือกตั้ง เงื่อนไขข้อแม้ก็ยังไม่ได้กำหนด แต่ไม่ได้แปลว่าคราวหน้าเราจะต้องไปร่วมเสมอไป เพราะเราอาจจะจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ถ้าเพื่อไทยเชิญร่วมรัฐบาล ตนไม่ขอตอบตรงนี้ เพราะประชาชนยังไม่ตอบเลย แต่เรามาจับขั้วรัฐบาลกันแล้ว เพราะฉะนั้นต้องให้ประชาชนตอบก่อน

แต่ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้มาเลือกเรา เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้ทำสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน ส่วนการโหวตเลือกนายกฯ ตนคิดว่าต้องมาดูก่อนว่าคนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ สามารถรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนได้หรือไม่ ซึ่งคนที่เป็นนายกฯ ต้องรวมเสียงของรับสภามากกว่า 376 ส่วนจะเลือกให้หรือไม่ ก็ต้องดูประกอบกัน ตามหลักกการ.