“เศรษฐา” ชี้นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท โดนใจ ขอบคุณหลายพรรคช่วยหาเสียงให้ ยันไม่มีรีดภาษีประชาชน ฟาดกลับ รทสช.ปมอัตราชี้วัดการทุจริต บอกให้ไปเถียงองค์กรที่สำรวจ ขอบคุณโพลอุบลฯ หนุนเป็นนายกฯ
วันที่ 9 เมษายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีผลนิด้าโพลของชาวอุบลราชธานีเลือกพรรคไหน โดยผลสำรวจพบว่าร้อยละ 45.55 อันดับ 1 เลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่สนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายเศรษฐาเป็นอันดับที่ 4 อยู่ที่ร้อยละ 7.45 ว่า ถือเป็นกำลังใจ โดยไม่ได้ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของการหาเสียงพรรคเพื่อไทยในช่วง 30 วันโค้งสุดท้าย โดยย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะเดินสายพูดคุยกับประชาชน อย่างเช่นวันนี้ได้รับฟังปัญหาของประชาชน ก็จะนำกลับไปหารือกับผู้บริหารของพรรคเพื่อหาแนวทางแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินในจ.ลำปาง หรือการเปิดตลาดการค้าในต่างประเทศ
เมื่อถามว่าโพลคะแนนนิยมสูงขณะนี้เป็นสัญญาณดีถึงเป้าหมาย 376 เสียงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราพยายามที่จะทำให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพเสียงของประชาชน และจะทำงานหนักเหมือนเดิม และย้ำว่าทั้งนี้ทั้งนั้นในวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม จะเป็นวันชี้ขาด แต่วันนี้ยังคงต้องเดินหน้าทำงานต่อไป
ส่วนนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมตั้งข้อสังเกตเรื่องโพลว่า เป็นผลสำรวจก่อนวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งเป็นวันก่อนการประกาศนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จึงเชื่อว่าหากนโยบายโดนใจประชาชนแบบนี้จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของโพล

...
ขณะที่นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ ถึงนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ยังถูกถล่มไม่จบทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคก้าวไกล ว่านโยบายแจกเงินสุดท้ายประชาชนจะถูกรีดภาษี ว่า ขอบคุณที่ช่วยขยายความนโยบายให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่โดนใจ เพราะไม่เช่นนั้นพรรคการเมืองอื่นคงไม่พูดถึง พร้อมย้ำว่าพรรคเพื่อไทยต่อสู้กับความยากจนและความลำบากของประชาชน ไม่อยากมาหยอดน้ำข้าวต้มทีละ 500-1,000 บาท การจ่ายทีเดียว 10,000 บาท จะช่วยประชาชนพ้นจากความยากจนได้ และยืนยันว่าเพื่อไทยไม่เคยบอกว่าจะขึ้นภาษีหรือรีดภาษีประชาชน มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน และได้มีการชี้แจงต่อ กกต.ไปแล้ว แต่หากกกต.ยังมีข้อสงสัยเพิ่มก็พร้อมจะชี้แจงอีก ซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่มีข้อกังขาอะไร
ส่วนที่มีการระบุว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินให้กับประเทศ นายเศรษฐาระบุว่าต้องดูสัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีเป็นหลัก ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะพยายามคงไว้ในระดับปัจจุบัน แต่อย่าลืมว่าหนี้ของประเทศโตขึ้นก็จะทำให้จีดีพีโตขึ้นด้วย ส่วนจำนวนเงินที่พรรคเพื่อไทยวางไว้สำหรับนโยบายนี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มหนี้สิน ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เงินเข้าสู่ระบบอีก 5 แสนล้านบาท เงินส่วนนี้จะก่อให้เกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายเดิม ยืนยันไม่มีการขึ้นภาษี และจะทำให้ประชาชน ร้านค้า และภาคอุตสาหกรรมมีการซื้อขายและผลิตสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น เราคงภาษีเท่าเดิม แต่จัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น
ด้านนายแพทย์ชลน่าน กล่าวเสริมว่างบประมาณปี 2567 ได้มีการกำหนดไว้แล้วที่ 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังคงใช้งบประมาณในกรอบนี้ ไม่มีการกู้เพิ่ม จึงไม่เป็นการเพิ่มภาระหนี้ตามที่มีการกล่าวหา และยืนยันว่าไม่ได้เป็นการรีดภาษีและขยับอัตราภาษี แต่เป็นการขยับฐานภาษี เพื่อให้จัดเก็บภาษีเข้ารัฐได้มากขึ้น พร้อมถามกลับว่าลักษณะแบบนี้เรียกว่ารีดภาษี แล้วการปล่อยปละละเลย บิดเบือน บิดเบี้ยวให้คนกลุ่มหนึ่งไม่เสียภาษีแบบนี้เรียกว่าอะไร

นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงการปราศรัยเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาใน จ.น่าน เกี่ยวกับการทุจริตของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติออกมาโต้กลับพาดพิงว่า ผู้นำที่ทุจริตไม่ใช่พลเอกประยุทธ์แต่เป็น นายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ตนได้กล่าวถึงโพลที่ทำโดยองค์กรอิสระจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานที่เราวัด แต่ก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้มาก ซึ่งมีตัวเลขที่ชัดเจนอยู่แล้ว ที่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันสูงขึ้นทุกคนก็ทราบดี โดยย้ำขอให้ดูที่ตัวเลขการสำรวจ และย้ำว่า ตนนำเสนอในข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้เป็นผู้สำรวจ หากพรรครวมไทยสร้างชาติจะไปเถียง ก็ขอให้ไปเถียงกับองค์กรนั้นดีกว่า
“อย่าเอามาวัด เขาว่าฉัน เธอว่าฉันดีกว่า โดยใช้คำว่ายอมรับและนำไปปรับปรุงกันเพราะหน้าที่เรา เรามีหน้าที่ปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ไม่ดี อันนี้ขอฝากไว้” นายเศรษฐากล่าว
ขณะที่นายแพทย์ชลน่าน กล่าวเสริมว่า อันดับการทุจริตของไทยร่วงลงมาอันดับที่ 110 ซึ่งเป็นองค์กรสากลในการสำรวจ CPI คะแนนลดต่ำลงมามาก ได้ 35 จาก 100 เต็ม