วันนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดรับสมัคร ส.ส.เขต เป็นวันที่สอง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นวันแรกพร้อมกับ บัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค บุคคลที่ถูกจับตามากที่สุดก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ มีข่าวล่วงหน้าว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่สนใจเป็น ส.ส.ตามครรลองการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้คงไม่ง่ายเหมือนตอนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาสนับสนุน และโอกาส ที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ก็คงไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ไม่สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า เป็นเหตุผลส่วนตัวไม่มีข้อกำหนด จะลงก็ได้ไม่ลงก็ได้ ไม่รู้ว่าท่านเห็นเวทีประชาธิปไตยเป็นอะไร

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อนายกฯไม่ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อาจส่งผลกระทบให้ความเชื่อมั่นต่อพรรครวมไทยสร้างชาติลดลงได้ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงให้เห็นว่า ไม่มีเจตนาผูกพันกับพรรครวมไทยสร้างชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเพียงสมาชิกพรรค และผู้สมัครบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคเท่านั้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็คงโบกมือลา แล้วใครจะกล้าฝากความหวังไว้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ

วันนี้ ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของคนไทยไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะ คนรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของชาติ และ มีสิทธิมีเสียงในการเลือกตั้งมากขึ้น ดังนั้น การที่มีคุณลุงทหารแก่ๆที่มาจากโลกเก่า ไม่สนใจอำนาจของประชาชน ต้องการจะเป็นนายกฯต้องการจะมีอำนาจอย่างเดียว จึงกลายเป็น “นักการเมืองหลงยุคปี 66” แม้จะมีการสร้างกติกาเพี้ยนๆให้มีผู้สมัคร “บัญชีรายชื่อนายกฯ 3 คน” แต่ไม่บังคับว่าต้องเป็น ส.ส.ด้วย ทั้งที่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เป็น หัวหน้าฝ่ายบริหาร เป็นหนึ่งใน อำนาจอธิปไตย ที่ต้องเป็น ตัวแทนของประชาชน ที่มาจากการเลือกตั้ง

...

คุณเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจที่ผันตัวมาเป็นนักการเมือง ผู้สมัครบัญชีรายชื่อนายกฯพรรคเพื่อไทย อันดับที่เท่าไหร่คงต้องลุ้นกันอีกที ก็เป็น “นักการเมืองหลงยุคปี 66” อีกคนที่ออกมาประกาศว่า จะไม่ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยให้เหตุผลว่า ตั้งใจจะเข้าไปทำหน้าที่บริหาร ตอนเปิดตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ตำแหน่งอื่นไม่เอา วันนี้ก็ชัดเจนแล้ว คุณเศรษฐาไม่มีโอกาสเป็นนายกฯแน่นอน โพลทุกโพลเลือก คุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นอันดับ 1 ไม่มีชื่อ คุณเศรษฐา ติดท็อปเทนด้วยซํ้า

นักการเมืองที่ปรับตัวได้มากที่สุด ต้องยกให้ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นอกจากจะ สมัครบัญชีรายชื่อ นายกฯ แล้ว ยังสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 และนำทีมลูกพรรคไปสมัคร ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เคารพกติกาประชาธิปไตย แม้จะมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการก็ตาม ถือเป็น “สปิริต” ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองที่ไม่มีสปิริตแบบนี้ก็อยู่ในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้

แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ยังเป็น “นักการเมืองหลงยุคปี 66” เมื่อโพสต์ข้อความ (ที่มีลูกทีมเขียนให้) ปฏิเสธทุกดีเบต ด้วยเหตุผลที่ไร้ตรรกะว่า ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้วัดด้วยการพูด การพูดเป็นเรื่องที่เชื่อได้น้อยที่สุด เป็นเรื่องที่ประเทศตะวันตกนิยมใช้โวหารวาทกรรม โดยยกตัวอย่าง “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน

งานนี้ต้องบอกว่า ลูกน้องพาพัง เสียแล้ว

“ป๋าเปรม” ไปพลิกประวัติศาสตร์อ่านกันเถอะครับ ท่านเก่งทั้งการพูด การปาฐกถา การร้องเพลง และการบริหารประเทศ วาทกรรมของ “ป๋าเปรม” ยังมีการหยิบยกมาใช้อ้างอิงกันตลอดเวลา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่ครองอำนาจตลอดกาล ก็เป็นนักพูดที่มีสำนวนโวหารลึกซึ้ง วาทกรรมของประธานาธิบดีสี เขารวมไว้เป็นเล่มๆเลยครับ ผู้บริหารที่เก่งและมีประสิทธิภาพต้องพูดเก่งด้วยครับ ไม่ใช่แค่ซ้ายหันขวาหัน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”