ประเทศไทยเป็นประเทศกำลัง พัฒนาแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” ทำให้ตัวเลขสูงถึงร้อยละ 18 “ติดอันดับ 2 ของอาเซียนเป็นรองเพียงสิงคโปร์” ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจนคาดการณ์ว่าอีก 9 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอดสูงถึงร้อยละ 28 ของประเทศ

ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นภาพ “ผู้สูงอายุตามเขตชนบทถูกทอดทิ้งอยู่ลำพัง” อันมีสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่เพราะขาดรายได้ขาดการส่งเสียจากบุตรต้องพึ่งพา “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรับเงินรายเดือน 600-1,000 บาท” แล้วแน่นอนวัยที่เพิ่มขึ้น “ร่างกาย” ย่อมเสื่อมถดถอยลงตามมาด้วย “โรคภัยไข้เจ็บ” อีกมากมาย

ด้วยภาวะสังคมสูงวัยเช่นนี้ “หลักประกันความมั่นคงในชีวิต” จึงมีความจำเป็นสำคัญทำให้ในช่วง 5 ปีมานี้ “ภาคประชาสังคม และแวดวงนักวิชาการ” ต่างร่วมกันขับเคลื่อนผลักดัน “นโยบายบำนาญถ้วนหน้า” สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป “รับเงินรายเดือนละ 3,000 บาท” เพื่อยกระดับให้ประชาชนเกิดความเท่าเทียมกัน

...

กระทั่งไม่นานมานี้ “สภาองค์กรของผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และไทยพีบีเอส” จัดแถลงข่าวร่วมผลักดันบำนาญถ้วนหน้าสู่นโยบายสำคัญของพรรคการเมือง เพื่อผลักดันให้มีนโยบายการสร้างความมั่นคง ทางด้านรายได้ของผู้สูงวัย หรือบำนาญประชาชน

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค บอกว่า ความจริงสภาองค์กรของผู้บริโภคจัดตั้งมาตามกรอบกฎหมาย “เพื่อเป็นตัวแทนผู้บริโภค” มีเจตนารมณ์ทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นการจะเกิดคุณภาพชีวิตดีได้นั้นจำเป็นต้องมีความมั่นคงในชีวิตกันเสียก่อน

แล้วที่ผ่านมา “ประเทศไทย” มีการพัฒนาความมั่นคงโครงสร้างพื้นฐานบริการ และสาธารณะด้านการศึกษา และสาธารณสุขที่มีคุณภาพดีในระดับหนึ่ง “แต่ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของผู้สูงวัยกลับยังไม่เกิดขึ้น” มีเพียงเงินช่วยเหลือเฉพาะเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 60-80 ปีได้รับ 600-800 บาท/เดือน ถ้าใครอายุยืนก็รับเงิน 1,000 บาท

ปัญหาว่า “เงินเท่านี้ไม่พอต่อการดำรงชีวิต” ทำให้ผู้สูงวัยจำนวนมากต้องออกมาทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวต่อไป “เพราะไม่มีเงินออมไว้ใช้ในยามชรา” แล้วถ้าไม่ออกมาทำงานก็ต้องอดกิน ในเรื่องนี้ “รัฐบาล” ต้องมาช่วยเหลือดูแลให้มี “ระบบบำนาญถ้วนหน้า” ที่สามารถทำได้ในเชิง งบประมาณนั้น

ด้วยก่อนหน้านี้ “สภาผู้บริโภคขอความร่วมมือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการสำรวจแหล่งเงินให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า “ประเทศไทย มีงบประมาณเพียงพอที่จะถูกนำมาใช้กับระบบบำนาญถ้วนหน้านี้ได้” คาดว่าเสร็จสิ้นเดือน ก.พ.2566 ที่จะเห็นโครงร่างแหล่งงบประมาณที่จะถูกนำมาใช้ได้ชัดเจน

อย่างเช่นกรณี “ปฏิรูปการใช้จ่ายงบประมาณ” ด้วยการสำรวจโครงสร้างการบริหารงบประมาณแต่ละกระทรวง หรือลดงบประมาณไม่จำเป็นอย่างการจัดซื้ออาวุธ อีกหนทางคือ “ปรับโครงสร้างภาษี” เช่น เก็บภาษีเพิ่ม 1% จะมีรายได้ 7 หมื่นล้านบาท/ปี ถ้าเก็บเพิ่ม 3% จะมีรายได้ 2 แสนล้านบาท/ปีหรืออาจเก็บภาษีร่ำรวย ภาษีที่ดิน

เรื่องนี้ทำการศึกษามาตั้งแต่ปี 2565 เพื่อจะนำข้อมูลเสนอต่อ “รัฐบาล หรือพรรคการเมือง” ให้เป็นข้อมูลถูกนำไปใช้ในการจัดทำระบบบำนาญถ้วนหน้าต่อไป แล้วขณะเดียวกัน “สภาผู้บริโภค” ก็ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลหารือ “เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ” เตรียมจัดแคมเปญให้พรรคการเมืองแต่ละจังหวัดช่วยผลักดันอีกทาง

ตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำจาก “กองทุน 3 หลักประกัน” ไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการถ้วนหน้า (บัตรทอง) บัตรประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ “อันเป็นหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงการรับบริการพื้นฐานถ้วนหน้า” แต่ถ้าเจาะลึกลงดู 3 หลักนี้กลับปรากฏพบมีความเหลื่อมล้ำในระบบค่อนข้างมาก

สังเกตตัวเลขเงินสวัสดิการของข้าราชการ 5.2 ล้านคนนั้นมีสิทธิรับสวัสดิการทั้งหมดรวมกัน 92,000 บาท/คน ส่วนประชาชนได้รับสวัสดิการรวมทั้งหมด 78,012 บาท/คน แล้วบัตรประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการนี้ก็มีระบบบำนาญรองรับด้วย ในขณะที่ “บัตรทอง” มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจน้อยกลับไม่มีระบบบำนาญเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นสิ่งที่อยากเสนอ “ตั้งระบบบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน” ให้ประชาชนเกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป “สามารถรับเงินอย่างเท่าเทียมกัน” เพราะทุกคนเกิดมาเป็นคนไทยควรได้รับเงินนี้ที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำในระบบสวัสดิการลดลงได้ แล้วส่วนที่มองว่า “ข้าราชการมีเงินบำนาญสูงกว่านั้น” อาจจะไม่จำเป็นต้องสมทบก็ได้

และมีคำถามว่า “ทำไมไม่ใช้หลักการออม” หากดูตัวเลขตามกองทุนการออมแห่งชาติ “รัฐบาลสมทบปีละ 300 ล้านบาท” นั้นแสดงว่าคนจำนวนมากไม่สามารถออมได้ อย่างเช่นสมมติว่ารัฐบาลสมทบคนละ 100 บาท เท่ากับมีผู้ได้ออมเพียง 3 ล้านคน แล้วอย่าลืมว่าตัวเลขคนไม่มีหลักประกันเฉพาะบัตรทองอยู่ที่ 47 ล้านคน

ฉะนั้น “หลักประกันที่จะเกิดขึ้น” ต้องเป็นระบบถ้วนหน้าที่ไม่ใช่กีดกัน “คนยากจน” อย่างเช่นกรณีการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบการระบาดโควิด-19 “ประเทศไทย” ใช้งบประมาณเพื่อสกรีนคนจนเกือบ 2 พันล้านบาท เช่นนี้บำนาญถ้วนหน้าจะเป็นระบบสวัสดิการเท่าเทียมลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริงแน่นอน

“ตอนนี้ถึงเวลาคนไทยต้องช่วยกันผลักดันบำนาญถ้วนหน้ากันอย่างจริงจัง เพราะเป็นสิทธิประโยชน์ของทุกคนให้มีความมั่นคงในชีวิต เพราะตลอดการทำงานที่ผ่านมาเราช่วยพัฒนาสร้างประเทศ และจ่ายภาษีไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมกันมาแล้ว รัฐบาลก็ต้องตอบแทนด้วยการรีบทำระบบบำนาญถ้วนหน้าเกิดขึ้นให้ได้” สารี ว่า

ด้านมุมมองภาคประชาชน หนูเกณ อินทจันทร์ ตัวแทนผู้สูงอายุ เครือข่ายสลัมสี่ภาค ให้ข้อมูลว่า ยุคปัจจุบันนั้นตามชุมชนพื้นที่ชนบท “ผู้สูงอายุมักถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง” ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาอาศัยเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพียง 600-1,000 บาท/เดือน/คน แล้วด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้จึงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายครองชีพแน่นอน

เพราะด้วยมีภาระ “ค่าไฟ-ค่าน้ำ” ต้องจ่ายทุกเดือน แถมบางคนกลับมีปัญหาสุขภาพอีก แต่หลายคนบอกโชคดีที่มี “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน” มาช่วยเสริมพอซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำมัน บรรเทาความเดือดร้อนแต่ละเดือน เหตุนี้ “ผู้สูงอายุไม่น้อย” ต้องดิ้นรนออกมาทำงานหาเงินรายได้เดือนละ 800-900 บาท

ยกตัวอย่างเช่น “ตัวเองที่ยังเป็นเสาหลักของบ้าน” เพราะด้วยครอบครัวของลูกชายไม่ค่อยสมบูรณ์จนต้องมีภาระรับผิดชอบส่งหลานเรียนหนังสือด้วย ทำให้แต่ละวันตื่นแต่ตี 3 ออกไปขายไก่ย่าง แล้วช่วงสายๆก็จะไปรับจ้างทำความสะอาดบ้าน เมื่อถึงตอนเย็นต้องไปตลาดหาซื้อวัตถุดิบเตรียมของไว้ขายในเช้าวันรุ่งขึ้นอีก

ดังนั้นบอกตรงๆ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับ 600-900 บาท ไม่เพียงพอใช้ในปัจจุบัน” แล้วยิ่งในสภาพเศรษฐกิจขณะนี้คิดว่าต้องอย่างน้อย 3,000 บาท/เดือน เพื่อใช้จ่ายวันละ 100 บาท จึงจะเพียงพอ

แต่เมื่อพอพูดถึง “ระบบสวัสดิการ หรือบำนาญถ้วนหน้า” ก็มักมีข้อถกเถียงจากฝ่ายราชการประจำเกี่ยวกับเรื่องการเงิน “ชอบตั้งคำถามว่าจะนำงบประมาณจากไหนมาจ่ายได้ แล้วถ้านำเงินมาใช้ขนาดนั้นอาจทำให้ประเทศล่มจมแทน” ในฐานะชาวบ้านได้ยินก็มีความเจ็บปวดที่ถูกมองจากข้าราชการเช่นนี้

ทั้งที่จริงแล้ว “ตัวข้าราชการ” กลับมีเงินเดือนและสวัสดิการเยอะกว่าชาวบ้านด้วยซ้ำ แล้วหากย้อนมอง “ในช่วงเราเป็นวัยหนุ่มสาว” ก็ต่างล้วนเป็นผู้ที่ทำงานสร้างรายได้ให้กับประเทศมากมาย แต่เมื่อถึงวัยเกษียณแล้วควรต้องได้รับการดูแลจาก “ภาครัฐ” ตามที่เราเคยมีส่วนร่วมต่อการสร้างรายได้ให้กับประเทศมาก่อนนั้น

สุดท้ายในฐานะประชาชนธรรมดา “ขอฝากนักการเมือง” อยากให้เห็นความสำคัญในการช่วยกันขับเคลื่อนระบบบำนาญถ้วนหน้าให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมจริงๆ “มิใช่เป็นเพียงคำหวาน” เพื่อเกิดเป็นระบบหลักประกันแก่ทุกคน แล้วเงินจำนวนนี้ก็ต้องถูกนำมาซื้อสิ่งของเครื่องใช้เกิดการหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาได้อีก

นี่คือเสียงเรียกร้องจาก “ภาคประชาชน” ที่ผ่านการทำงานจ่ายภาษีมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว “บำนาญถ้วนหน้า” จะเป็นหลักประกันคุณภาพชีวิตที่ดีให้ทุกคนเมื่อถึง “วัยชรา” ที่ไม่สามารถทำงานต่อไปได้.