เป็นภาพสะท้อนถึงความตื่นตัวทางการเมืองสูง เมื่อองค์กรภาคประชาชน เช่น ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และองค์กรสื่อ กับสำนักงาน กกต.ร่วมกันจัดพิธีลงนามใน “จรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้ง 2566” และ “สัญญาที่พรรคการเมืองให้ไว้แก่ประชาชน 2566” มีพรรคการเมืองร่วมลงนามถึง 31 พรรค

ยกเว้น 2 พรรค คือพรรคพลังประชารัฐ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่มีคำชี้แจงเหตุผลจากพรรค รทสช. แต่มีคำชี้แจงจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ว่า เหตุที่ไม่ได้ร่วมลงนาม เพราะกลัวว่าจะผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 28 ที่ห้าม “คนนอก” เข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมพรรค

มาตรา 28 ของกฎหมายพรรค เป็นมาตราสามัญประจำการเมืองไทย ใครอยากกลั่นแกล้ง หรือร้องเรียนให้ยุบพรรคที่ไม่ชอบหน้าอาจใช้บริการม. 28 ได้ เพราะทุกพรรคล้วนแต่มี “คนนอก” เข้าเกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี อาจถูกกล่าวหา “ครอบงำ” พรรค พปชร.ก็ย่อมได้

แต่นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. มีความเห็นต่าง เห็นว่าการที่ 31 พรรคร่วมลงนามในเอกสารทั้ง 2 ฉบับ แสดงถึงความพร้อมของพรรคการเมือง ที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม แสดงว่าภาคประชาสังคมเห็นสอดคล้องกับภารกิจ กกต. ถือว่าประชาธิปไตยเป็นของทุกคนในชาติ

ฉบับที่ 1 สัญญาว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ฉบับที่ 2 สัญญาว่าจะทำตามสัญญาที่หาเสียงกับประชาชนไม่ใช่สัญญาลมๆแล้งๆ เหมือนกับบทเพลง คสช.ที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ขอคืนความสุขให้เธอ...ประชาชน” ไหนล่ะความสุข?

...

ทำไม 31 พรรค จึงยอมลงนามในสัญญา และทำไมสองพรรคใหญ่จึงเมินเฉย มีข้อสังเกตว่าทั้งสองพรรคมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน พรรค พปชร. มาจากการจัดตั้งของคณะรัฐประหาร คสช. เพื่อสืบทอดอำนาจ ส่วนพรรค รทสช.ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนหัวหน้า คสช. ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ หลังจากที่เป็นมาแล้วเกือบ 9 ปี

ทั้งสองพรรคอาจเห็นว่า ไม่มีกฎหมายบังคับให้ลงนามในสัญญาใดๆ เช่นเดียวกับไม่บังคับให้ผู้สมัครนายกฯของพรรค ต้องเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อด้วย ขอให้ “ทุกพรรค” ทำตามรัฐธรรมนูญก็พอ แต่หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง จะต้องเลือกนายกฯ ทั้งสองพรรคอาจไม่ทำเหมือนพรรคอื่นๆ เพราะมี 250 ส.ว.ในมือ.