นายกฯ มอบทีมเศรษฐกิจรัฐบาลติดตามสถานการณ์ธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐฯ ปิดตัว ไม่พบแบงก์ไทยเกี่ยวข้องหรือเข้าลงทุน ย้ำ พื้นฐานระบบสถาบันการเงินไทยแข็งแกร่ง ระบบกำกับเข้ม ตั้งแต่หลังวิกฤติ ปี 40 ธนาคารกระจายฐานลูกค้าทั้งเงินฝาก สินเชื่อ เงินกองทุนสูง

วันที่ 13 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่เกิดกรณีธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐฯ ได้ปิดตัวลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลติดตามสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมกับประเมินผลว่า จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่ เพียงใด

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ไม่มีธนาคารหรือสถาบันการเงินของไทยมีการลงทุนหรือมีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับธนาคารที่มีปัญหาทั้ง 2 แห่ง พร้อมกับประเมินว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินในสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในวงที่จำกัด เนื่องจากทั้ง 2 แห่ง มีการทำธุรกิจที่มีความเฉพาะ ไม่ได้มีการบริการแบบกว้างขวาง เช่น ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และทางการสหรัฐฯ ได้เข้าดำเนินการเพื่อดูแลปัญหาที่รวดเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านฐานะของสถาบันการเงินไทยทั้งระบบมีความแข็งแกร่ง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการกำกับด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด ซึ่งมาตรการการกำกับระบบสถาบันการเงินของไทย มีการปรับปรุงให้ดูแลความเสี่ยงอย่างรอบด้าน รัดกุม มาตั้งแต่หลังวิกฤติ ปี 2540 ทำให้ในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา แม้มีวิกฤติการเงินโลกหลายครั้ง รวมถึงวิกฤติโควิด19 แต่สถาบันการเงินของไทยทั้งธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ ยังสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้ด้วยฐานะที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ธปท.ระบุว่า ณ สิ้นปี 2565 ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบ มีเครื่องชี้ฐานะทางการเงินในระดับสูง โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ร้อยละ 19.4 สภาพคล่อง (Liquidity Coverage ratio : LCR) สูงถึงร้อยละ 197.3 มีหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.73 ขณะที่เงินสำรองต่อหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Coverage ratio) สูงถึงร้อยละ 171.9 การให้สินเชื่อและรับเงินฝากในภาพรวม มีการกระจายตัว ไม่กระจุกตัวในลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

...

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีระบบการดูแลผู้ฝากเงินที่เข้มแข็งด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ที่ปัจจุบันกองทุนคุ้มครองเงินฝากมีจำนวน 1.34 แสนล้านบาท คุ้มครองเงินฝาก 1 ล้านบาทต่อราย ซึ่งกองทุน ณ ปัจจุบันสามารถครอบคลุมผู้ฝากกว่าร้อยละ 98% ซึ่งเป็นผู้ฝากส่วนใหญ่ของประเทศ.