"จตุพร" ลั่น ไม่มีวันทำร้าย "ณัฐวุฒิ" ก่อน กองเชียร์ไม่ต้องยั่วยุให้รบกัน ยัน ดาบไม่มีทางออกจากผมก่อน ปูด "ทักษิณ" หลอก มั่นใจ ไม่สนใจคนนอก หากประโยชน์ลงตัว 

วันที่ 8 มี.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "บทเรียน...สอนใจใครบ้าง?" โดย นายจตุพร กล่าวว่า ได้เห็นสิ่งที่ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์เมื่อ 6 มี.ค. แล้ว คงต้องบอกว่า เราจัดรายการสดในหัวข้อประเทศไทยต้องมาก่อน ภายใต้คณะหลอมรวมประชาชน ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเราวิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกกับประเทศชาติบ้านเมือง และเราไม่เคยเตรียมเนื้อหาการพูดกันเลย

อย่างไรก็ตาม การโพสต์ของณัฐวุฒินั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตนต่อสู้บนสนามประชาธิปไตยมายาวนาน มีอุสมาน ลูกหยี ไปด้วยกันทุกสนามต่อสู้ แม้มีบางช่วงเวลาขาดหายจากกันไป แต่มาร่วมทำงานด้วยกัน แล้วดูแลกันจนถึงวันสิ้นชีวิต อีกอย่างเมื่อหลายคนร่วมต่อสู้ด้วยกันมา แล้วต่างแยกย้ายจากกันไปตามวิถี การจะกล่าวถึงกันบนเวทีต่อสู้ แต่ก็อึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวพรรคเพื่อไทย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวพรรคเพื่อไทย

...

"ผมกับณัฐวุฒิ ในปี 2553 ใครก็รู้ว่าเป็นคู่กัน แล้วบัดนี้เราแยกทางกัน ณัฐวุฒิไปอยู่กับครอบครัวเพื่อไทย ผมอยู่ในภาคประชาชน แม้วิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่าย แต่จะหลีกเลี่ยงณัฐวุฒิตลอดเวลา ไม่ว่าคนที่อยู่บนเวทีใหญ่ครอบครัวเพื่อไทยวิจารณ์ผมอย่างเสียหาย ผมก็ยึดมั่นตอบโต้เฉพาะคนนั้นตรงๆ แล้วยังพุ่งเป้าไปยัง ทักษิณ ชินวัตร ด้วย"

อีกทั้งระบุว่า บนเวทีคนเสื้อแดงที่มีณัฐวุฒิอยู่ด้วย ได้วิจารณ์ตนอย่างน้อยสองครั้ง ตนก็ตอบโต้คนนั้นแล้วพุ่งเป้าไปทักษิณอีก ไม่เคยพูดถึงณัฐวุฒิเลย แม้ที่ผ่านมามีความพยายามแยกตนกับณัฐวุฒิ แต่แล้วมาทำสำเร็จในปี 2562 ซึ่งคนลงมือทำคือ ทักษิณ หลอกให้ตนไปช่วยพรรคเพื่อชาติ แล้วให้ณัฐวุฒิไปอยู่ไทยรักษาชาติ และว่าพรรคเพื่อชาติไม่เกี่ยวกัน ทั้งที่ทักษิณบอกให้ตนมาทำเอง

นอกจากนี้ ย้ำว่า ทักษิณ ยังหลอกให้ จาตุรนต์ ฉายแสง มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติคนเดียว แล้วให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยคนเดียว แต่ที่สุดก็เอาคนพิเศษมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ จากนั้นทุกอย่างหลังปี 2562 ไม่เคยเหมือนเดิม จึงเป็นไปตามที่ทักษิณต้องการ ถือว่าเขาทำสำเร็จตามความต้องการให้แยกขาดจาดกัน

นายจตุพร กล่าวว่า ความเป็นจริงนั้น ณัฐวุฒิ เองก็รู้เรื่องนี้อย่างดีคนหนึ่ง มิเช่นนั้นต้องกลับพรรคเพื่อไทยมานานแล้ว แม้เป็นคนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเหมือนกัน แต่ก็ไปทำพรรคเส้นทางใหม่ มีสำนักงานพรรคที่สวยงาม ทันสมัย อยู่ที่ปากเกร็ด นนทบุรี เมื่อเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวมาเป็นสองใบ ณัฐวุฒิกับคณะก็เลี้ยวกลับมาที่เพื่อไทย ดังนั้นถ้าเขามีความศรัทธาพรรคเพื่อไทยแล้ว จะไปทำพรรคเส้นทางใหม่ทำไม

"ผมเห็นปลายทางอยู่แล้วว่า ไม่เกินสิงหาคม จะเห็นปรากฏการณ์การจับมือระหว่างเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นี่เป็นความเชื่อส่วนตัว และณัฐวุฒิก็ตอบคำถามไม่ได้ แต่เราทุกคนต่างรู้ว่าถึงเวลาที่เจ้าของพรรคต้องการอะไรแล้ว เราก็กลายเป็นคนนอก ไม่มีปาก ไม่มีมีเสียง จะมีปากมีเสียงก็ตอนเวทีปราศรัยเท่านั้น"

นายจตุพร มั่นใจว่าเมื่อการเลือกตั้งยุติไป ถ้าเป็นเรื่องของผลประโยชน์และเชิงอำนาจ พวกเราไม่มีส่วนในการตัดสินใจอยู่แล้ว และทักษิณก็ไม่สนใจพวกเราด้วย อย่างไรก็ตามตนก็เชื่อว่าปลายทางต้องเจอกับอะไร ถึงณัฐวุฒิจะเถียงก็ได้ตามสบาย

พร้อมทั้งเชื่อว่าบรรดากองเชียร์ทั้งหลายต้องการให้ตนกับณัฐวุฒิประหัตประหารกัน ซึ่งแน่นอนที่สุด ดาบต้องไม่เริ่มต้นจากตนก่อน อีกทั้งพรรคเพื่อไทยเรียงหน้ามารบกับตนคงจะรับมือไม่ไหวแน่นอน ซึ่งณัฐวุฒิเท่านั้นคงต่อสู้กันอย่างสมสถานะ

"ผมเชื่อว่าแรงกดดันต่างๆ จะยิ่งมีมากตามลำดับ เมื่อการเลือกตั้งใกล้มาถึงยิ่งขึ้น คำว่าแลนด์สไลด์กับไม่แลนด์สไลด์ ถ้าพิจารณาจากการไปออกรายการคุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ย่อมสะท้อนความรู้สึกในใจได้เป็นอย่างดี แต่ผมฟังแล้วเข้าใจ เพราะภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าของพรรคเอาประโยชน์กัน เราก็กลายเป็นคนนอก ไม่ว่าโครงการจำนำข้าว การตรวจสอบครั้งสุดท้าย ข้าวหายไป 2 ล้านตัน โดยผมได้เตือนในทีมยุทธศาสตร์พรรคให้ยุติการกระทำเสีย แต่ช่วงนั้นการทุจริตมันเละตุ้มเป๊ะแล้ว"

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายจตุพร เล่าย้อนว่า แม้แต่เรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอย เมื่อเจ้าของพรรคต้องการให้คุ้มครองไปถึงคดีทุจริต แต่นั่นไปทำลายความหวังของประชาชนที่กำลังจะเข้าคุกอยู่ แต่เมื่อเป็นเรื่องเจ้าของพรรคต้องการเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เขาจึงทิ้งประชาชนไว้ที่หลัง

อีกทั้งเห็นว่าตนไม่เคยทิ้งใครก่อน ไม่เคยทรยศใคร เมื่อโชคชะตาทำให้ทักษิณลงมือกับตนก่อน ตลอดเวลากล้ำกลืนการรู้จักกันมาถึง 29 ปี ซึ่งณัฐวุฒิรู้จักทักษิณเมื่อปี 2548 หลังตน 11 ปี ดังนั้นถัดจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ให้รู้ว่าตนไม่มีวันจะทำร้ายณัฐวุฒิก่อน

"ณัฐวุฒิก็มีสิทธิ์ตอบโต้ชี้แจง เหมือนกรณีที่ตนใช้สิทธิ์โต้คนเพื่อไทย และเสื้อแดง โดยไม่ได้บอกว่า ณัฐวุฒิไม่ได้ห้ามปราม เช่นเดียวกันกองเชียร์ณัฐวุฒิมาต่อ ว่าผมในทางที่เสียหายในเฟซบุ๊กของณัฐวุฒิ และผมก็ไม่ได้ต่อว่าณัฐวุฒิว่า ไม่ได้ห้ามปราม"

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เห็นว่าถ้าเรารบกัน มันไม่จบ แม้คนเสื้อแดงเอาข้อความของณัฐวุฒิไปโพสต์ต่อเพื่อรอวันเวลาการประหัตประหาร แต่ตนเชื่อว่าในวันใดเพื่อไทยจับมือ พปชร. ในวันนั้นณัฐวุฒิจะอยู่อย่างไร ซึ่งคงรู้อยู่แก่ใจดี

พร้อมย้ำว่า ในวันนี้ นายสนธิญา สวัสดี ไปยื่นการยุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีการครอบงำนั้น ตนอยากบอกณัฐวุฒิว่า ไม่ต้องสนใจ เพราะสิ่งที่ควรสนใจนั้น ได้มีการยื่นและสอบสวนชี้มูลความผิดเบื้องต้นจนจบไปแล้ว ซึ่งกรณีนี้มีขั้นตอนตามลำดับ ใน 4 ด่านคือ ยื่นเรื่อง สอบสวน ตั้งอนุกรรมการมาตรวจสอบ ส่ง กกต.ชุดใหญ่พิจารณาชี้มูล แล้วส่งศาล รธน.วินิจฉัย ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนตั้งอนุกรรมการมาตรวจสอบเพื่อส่งให้ กกต.ชุดใหม่มีมติ

รวมทั้งกล่าวว่า ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายใครจะต้องตกเป็นแพะต้องถูกวิจารณ์ว่า สาเหตุมาจากใคร ตนก็เห็นว่าปลายทาง ไม่แตกต่างจากคำตอบว่า ถ้าเจ้าของพรรคไปรวมกับ พปชร. แล้วถึงขั้นโหวตเลือก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ นั้น อย่าว่าแต่หาที่เดิน หาที่ยืนเลย หาที่นอนให้ได้ก่อน เพราะทางการเมืองไม่สามารถชี้แจงใดๆ ได้

"ที่ผ่านมาผมอดทนทุกเรื่องราว ถูกดำเนินคดีมากที่สุด เข้าออกคุกมากที่สุด และเพียงแค่เห็นต่างจากทักษิณ ก็กลายเป็นคนไม่ดีกับขบวนการคนเสื้อแดงมากที่สุด ทั้งที่ทักษิณเป็นคนทรยศเสื้อแดงมากที่สุด ถ้าคนในเพื่อไทยต้องการให้ณัฐวุฒิฟาดฟันผมต่อ แล้วณัฐวุฒิหลงเชื่อ ผมว่าณัฐวุฒิรู้จักผมดี"

นายจตุพร กล่าวว่า ในการต่อสู้นั้นจะวัดกันในตอนที่ความเป็นความตายที่ปรากฏ ส่วนในยามบ้านเมืองปกติคนเก่งจะมีมาก คนปากดีก็มีมาก ซึ่งคนพวกนี้จะหายไปเมื่อความตายปรากฏ แล้วหลังจากเหตุการณ์ยุติ คนปากดีก็เสียงดังอีก และกลายเป็นนักสู้เสื้อผ้าใหม่เอี่ยม ส่วนนักรบเต็มไปด้วยบาดแผล เนื้อตัวขะมุกขะมอม เข้าไปใกล้มันก็รังเกียจ ดังนั้น คนมารับรางวัลล้วนพวกหน้านวลทั้งหลาย

สิ่งสำคัญย้ำว่าทุกร่าง ทุกชีวิตที่ได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มา ถามว่าเมื่อได้อำนาจแล้ว ใครคือผู้ได้อำนาจจริง พี่น้องประชาชนที่บาดเจ็บล้มตาย ใช่บรรดาคนที่ไปต่อสู้หรือไม่ อีกอย่างตลอดเวลาเราเคยได้ยินชื่อ เศรษฐา ทวีสิน หรือไม่ โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร บอกเป็นที่ปรึกษายิ่งลักษณ์

“เราเจอคนอย่างนี้ทั้งนั้น เวลามีอำนาจไม่รู้มาจากไหน และเวลาที่ไปเจอทักษิณ คนที่เรารบกันในประเทศไทยไม่ว่ากลุ่มทุน พวกคนการเมืองคู่กรณีทั้งหมด ก็อยู่แวดล้อมทักษิณ และที่ไม่ปรากฏมีอีกจำนวนมาก จึงรู้ว่าเราคงอยู่ยาก”

นายจตุพร กล่าวว่า ช่วงที่ไปช่วยเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ นั้นความจริงมีคนอธิบายช่วยตนได้มากมาย เพราะอยู่ในเหตุการณ์ทุกขั้นตอน บางคนไม่กล้าแสดงออก แต่ตนมีความรับผิดชอบ เพราะเห็นอะไรผิด และอะไรถูก

นอกจากนี้ระบุว่า ดังนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ถัดจากนี้ไป ไม่ว่าอะไรก็ตาม แน่นอนตนก็ต้องถูกปั่นให้เกิดความชิงชังในหมู่พี่น้องเสื้อแดงและในบรรดากองเชียร์เพื่อไทยอยู่แล้ว แต่ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่ง ในวันที่ตนต่อสู้ ทั้งปี 2535 ก็หลุดไปสู้คนเดียวที่ ม.รามคำแหง และหลังปี 2553 แม้เหลืออยู่คนเดียวยังไม่ถูกติดคุก (เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง) เพื่อไทย นปช. และเสื้อแดงเสียหายยับเยินพ่ายแพ้กันหมดแล้ว ในเหตุการณ์ล้อมปราบ ตนพากันไปทุกพื้นที่ที่มีพี่น้องเสียชีวิต แล้วช่วยกันฟื้นแล้วนำพาสู่ชัยชนะเลือกตั้งปี 2554

พร้อมทั้งเห็นว่า ถ้าตนคิดเพียงคนเดียวก็จะไม่ลำบาก และก็เป็นคนเดียวที่ต้องถูกยึดทรัพย์ในคดีแพ่งที่ถูกฟ้อง เพราะหลายคนเขาหลุดรอดแล้ว เพราะเขามีปัญญาชดใช้ไปแล้ว แต่เราต้องการยืนอย่างที่เคยยืน หลายคนเปลี่ยนแต่ตนไม่เปลี่ยน จึงถูกมองว่าเป็นคนเปลี่ยนไป

“ผมอึดอัดใจที่สุดกับทักษิณ เคยเดินออก หันหลังให้แล้วตอนนิรโทษกรรมสุดซอย แต่ถูกร้องขอ ผมก็กลับมา แล้วถูกหักหลังซ้ำ วันนี้ผมไม่มีความวิตกกังวลในการต่อสู้กับทักษิณ ที่ผ่านมาทักษิณย่อมรู้ศัตรูของท่านที่ใหญ่กว่าท่าน แต่ผมไปรบ เขามีปืน ผมรับชะตากรรมมากที่สุด เข้าคุกออกคุก 5 ครั้ง และอยู่อย่างยากลำบากที่สุด แล้วเห็นพี่น้องประชาชนลำบากมากที่สุดด้วย เวลาชนะเลือกตั้งได้เห็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วเศรษฐา มาเป็นที่ปรึกษาได้อย่างไง มาจากไหน ซึ่งในทางส่วนตัวผมไม่ได้รังเกียจอะไรเขา และเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นนายกฯ หรอก”

นายจตุพร กล่าวว่า ในหนทางข้างหน้าต้องวัดกันอีก เดือนสิงหาคมก็ปรากฏอยู่แล้ว ไปไม่รอด เราจึงเอาบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง เมื่อเราไม่มีประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง เราจึงมองเห็นชัดกว่าทุกคน ดังนั้นเราคุยกันจัดรายการ โดยไม่ได้เตรียมกันพูด เพียงกำหนดหัวข้อกว้างๆ ไว้เท่านั้น และเนื้อความใดวิพากษ์วิจารณ์ใคร ทุกฝ่ายมีสิทธิ์ตอบโต้ได้เป็นปกติ นั่นคือสิ่งสวยงาม

“บรรดากองเชียร์ หวังยั่วยุให้รบกันนั้น แต่ว่าดาบจะไม่ออกจากผมก่อน ผมไม่มีวัน และไม่เคยเอามีดซ่อนข้างหลังด้วย ไม่มีเล่ห์เพทุบาย และเมื่อหันหน้าไปคนละทาง สร้างดาวคนละดวงแล้ว สิ่งสำคัญจะไม่มีวันหันหลังกลับไปพรรคเพื่อไทยอีก และผมได้ออกจากทักษิณโดยสิ้นเชิง ผมมาเดินอยู่ในสนามประชาชน ผมไม่กลัวทักษิณ และทักษิณคือคนทรยศเสื้อแดงมากที่สุด แล้วใช้เสื้อแดงไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวทุกสิ่งทุกอย่างคือทักษิณ”.