จดหมายเปิดผนึกของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กลายเป็นข่าวฮือฮาในวงการเมืองอีกครั้ง บิ๊กป้อมเปิดใจว่าเหตุที่ตัดสินใจทำงานการเมืองต่อ เพราะความผูกพันกับคนที่ร่วมสร้าง พปชร. จนสำเร็จ เป็นรัฐบาลบริหารมาครบ 4 ปี จึงไม่อาจทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่
เจ้าของนโยบาย “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ระบุถึงเหตุของความขัดแย้งเพราะ “กลุ่มอีลิท” ที่มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ ไม่เชื่อถือเชื่อมั่นนักการเมือง ไม่เชื่อถือความรู้ความสามารถในการเลือกตั้งของประชาชน ลามไปถึงความข้องใจในประชาธิปไตย จึงเห็นดีกับการหยุดประชาธิปไตยหรือปฏิวัติกันใหม่
กลายเป็น “ความขัดแย้ง” และขยายเป็น “ความแตกแยก” ระหว่าง “ฝ่ายอำนาจนิยม” กับ “ฝ่ายเสรีนิยม” หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะหาหนทางทำให้ฝ่ายตนชนะอย่างเด็ดขาด กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ การทำงานร่วมกับนักการเมืองทำให้ตนถึงบางอ้อ
ทำให้ตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศด้วยประชาธิปไตย ฟังดูคล้ายกับว่าตัว พล.อ.ประวิตรเอง ซึ่งน่าจะอยู่ใน “กลุ่มอีลิท” ด้วย ไม่เคยเชื่อมั่นในประชาธิปไตย ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับเขียนไว้ชัดแจ้ง “ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย” แต่เป็นเหมือนคาถาที่จารึกไว้บนแผ่นกระดาษ
แต่ พล.อ.ประวิตร ซึ่งคุ้นชินกับ “ระบบอำนาจนิยม” เพิ่งจะเกิดดวงตา เห็นธรรม มองเห็นประชาธิปไตย หวังว่าจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่พูดเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ประเทศไทยขัดแย้งกันมายาวนาน จากความเห็นต่างระหว่างฝ่ายอำนาจนิยมกับฝ่ายประชาธิปไตย อำนาจนิยมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
...
แม้กลุ่มอีลิทของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงคณะรัฐประหาร อาจจะเป็นฝ่ายแพ้ เมื่อตั้งพรรคเพื่อแข่งขันการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายอำนาจนิยมจะกลายเป็นผู้ชนะแทบทุกครั้ง ด้วยการใช้กำลังยึดอำนาจ ทํารัฐประหาร โค่นรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง เพราะไม่เชื่อถือนักการเมือง และไม่เชื่อว่าประชาชนฉลาดพอ
การเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่อีลิทชนลงชิงชัยในกติกาที่ฝ่ายตนได้เปรียบ เพราะคณะรัฐประหารแต่งตั้ง 250 ส.ว.ไว้เพื่อเลือกผู้นำรัฐประหารเป็นนายกฯ ขณะนี้ คสช.แยกกันเป็น 2 พรรค คือ พปชร.กับพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจต้องแย่งกันดึง สว. ส่วนพรรคอื่นๆต้องพึ่งประชาชน.