“ไตรรงค์” มั่นใจไม่ได้ทำอะไรผิด พูดถึงสถาบันฯได้เพราะยังไม่ยุบสภา หรือมีประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง จี้ กกต.ทำเรื่องนี้ให้เป็นบรรทัดฐานชัดเจน ขอบเขตแค่ไหน อย่างไร อัดนักการเมืองจ้องแต่จะดิสเครดิตกัน “สมชัย” เย้ยฟังไม่ขึ้น มีระเบียบข้อห้ามระบุชัด ยันเดินหน้ายื่น กกต.ฟัน 3 มี.ค. พท.ตามบี้เจ้าตัว-รัฐบาล รับผิดชอบ “ชูวิทย์” ตามถล่มกัญชา-รถไฟฟ้า ปลุกคน ไม่เอา ภท. ท้า “อนุทิน” แฉมาเลยใครชักใย “เสี่ยหนู” ย้ำมีแน่การเมืองอยู่เบื้องหลัง ยันไม่เล่นตามเกมไปไล่ชกกันให้ชาวบ้านสนุก “บิ๊กตู่” ย้ำไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้อง “ชูวิทย์” เผย “พี่ป้อม” ไม่มีสัญญาผูกมัดพรรคเพื่อไทย ฉุนกระแสข่าวยุบสภา 21 มี.ค.ตรงวันเกิด รัฐบาลมาเหนือเมฆยื่นศาล รธน.ตีความ พ.ร.ก.อุ้มหาย เลี่ยงถูกตีตก โดนรุมจวกยับเยิน “โรม” ยื่น ผบ.ตร.ตามบี้เอาผิด “ส.ว.ทรงเอ” พ่วงคดีหลานชายนายกฯ

จากกรณีที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทาง การเมือง ยื่นร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ไต่สวนเอาผิดนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นำสถาบันฯมาเกี่ยวข้อง ระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ล่าสุดนายไตรรงค์ควงลูกสาวออกมาชี้แจงเรื่องนี้

...

“ไตรรงค์” ควงลูกสาวแจงปมก้าวล่วง

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. น.ส.รัดเกล้า สุวรรณคีรี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางพลัด พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์คลิปวิดีโอใน tiktok พูดคุยกับนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรค รทสช. ผู้เป็นบิดา ประเด็นการปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา บางช่วงพูดชื่อพรรคผิด บางช่วงพูดถึงสถาบัน จนเป็นเหตุให้มีคนนำประเด็นดังกล่าวไปร้อง กกต.ให้ไต่สวนเอาผิด นายไตรรงค์กล่าวว่า ประเด็นที่มีคำกล่าวบนเวทีปราศรัย หลุดพูดถึงพรรคไทยรักไทยนั้น ยอมรับเหตุเกิดเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการโดนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พาลงพื้นที่หลายจุด จนเกิดอาการล้า และไม่มีสมาธิพูดในสิ่งที่ต้องการนำเสนอ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ถือเป็นเรื่องตลกไป

มั่นใจไม่ผิด ยังไม่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

“ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายติดใจว่าเป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียงนั้น เข้าใจว่าในขณะนี้สามารถพูดได้ เพราะระเบียบ กกต.จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีการยุบสภา และประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ถ้าเป็นในห้วงเวลานั้นจะต้องระมัดระวังการหาเสียง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของ กกต. จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องประกาศให้ชัดเจนในเรื่องการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียง ว่าหมายถึงเรื่องใดบ้าง ขอบเขตอยู่ตรงไหน เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเป็นคนเขียนตำรา เรื่องมารยาททางการเมืองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญตราบใดที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ผมมีสิทธิเสรีภาพที่จะพูด และหากคำพูดนั้นไปกระทบหรือหมิ่นประมาทใครก็ให้ฟ้องมา ผมยินดีที่จะชดใช้ และขอให้ กกต.กำหนดกรอบให้ชัดเจน คำจำกัดความว่าการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียงทำได้แค่ไหน เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าการเมืองจ้องจะดิสเครดิตกันอยู่แล้ว” นายไตรรงค์กล่าว

“สมชัย” เย้ยฟังไม่ขึ้น ยันยื่นฟัน 3 มี.ค.

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะอดีต กกต. กล่าวว่า เหตุผลของนายไตรรงค์ฟังไม่ขึ้น ขณะนี้อยู่ในช่วง 180 วัน ก่อนรัฐบาลจะครบวาระ 4 ปี พรรค การเมืองและผู้สมัครต้องปฏิบัติตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียง ที่กำหนดหลักเกณฑ์ว่าผู้สมัคร ส.ส.และพรรคการเมืองทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง มีข้อห้ามชัดเจน ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ ถ้ามีคนไปร้องก็ถือว่าผิด แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมีการยุบสภาเกิดขึ้น ข้อห้ามต่างๆที่ผู้สมัครละเมิดกฎไปจะถูกเลิกไปด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ กกต.จะพิจารณาให้มีผลต่อเนื่องในการกระทำผิดหรือไม่ ถ้า กกต.ยกประโยชน์ให้คนผิด อาจถูกฟ้องได้ว่าเอื้อประโยชน์ให้พรรค การเมืองบางพรรคหรือไม่ ยืนยันว่าวันที่ 3 มี.ค.จะไปยื่นเรื่องต่อ กกต.เอาผิดนายไตรรงค์และพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำผิดระเบียบ กกต. นำสถาบันมาอ้างในการหาเสียง

พท.บี้ “ไตรรงค์–รัฐบาล” รับผิดชอบ

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีการปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ถือว่าความผิดสำเร็จ คนมีวุฒิภาวะระดับนายไตรรงค์ และมีผู้นำเป็นนายกฯ อีกทั้งมีหัวหน้าพรรคเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงมองว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน รัฐบาลและนายไตรรงค์ต้องแสดงความรับผิดชอบ เอาสถาบันมาแอบอ้างเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคเพื่อไทยทำจะยอมหรือไม่ โดนหนักหรือไม่เรื่องนี้ กกต.ต้องนำไปคิด เพราะเป็นที่หวังของทุกพรรค แม้ กกต.จะยังเป็นที่หวาดระแวงเคลือบแคลงหลายเรื่อง เช่น การรายงานการเลือกตั้งแบบไม่เรียลไทม์ การยุบพรรคฟาสต์แทร็ก กกต.ต้องถามตัวเองว่าจะทำอย่างไร หากทำให้เหมาะสมจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แต่หากละเลย หรือล้มมวย ก็สร้างความเชื่อมั่นไม่ได้ ถ้าคุณทำได้ ฉันก็ทำบ้าง จะมีการละเมิดกติกาความวุ่นวายตามมา

“ชูวิทย์” ชักธงรบถล่มกัญชา–รถไฟฟ้า

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.00 น. ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดแถลงข่าวโจมตีนโยบายกัญชา และการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่อ้างว่ามีเงินทอน 3 หมื่นล้านบาทของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยนำนักเรียน 6 คน มาแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ทำการตัดต้นกัญชา พร้อมกับให้เด็กนักเรียนเล่าว่าเห็นเพื่อนตัวเองสูบกัญชาเพราะหาซื้อง่าย โดยนายชูวิทย์กล่าวว่า ไม่ได้คัดค้านนโยบายกัญชา แต่คัดค้านนโยบายกัญชาเสรีที่มีผลต่อเยาวชน สามารถหาซื้อได้ง่าย ส่วนประเด็นรถไฟฟ้าที่กระทรวงคมนาคมให้ตนตอบหนังสือกลับภายใน 15 วันนั้น ถามว่าจะมอบข้อมูลให้คนที่ตนสงสัยได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ได้มอบข้อมูลให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายกรัฐมนตรีไปแล้ว จึงอยากให้ รมว.คมนาคมถามข้อมูลดังกล่าวจากนายกฯ

ปลุกไม่เอา ภท. ท้า “อนุทิน” แฉคนชักใย

“จากนี้จะตระเวนไปทั่วประเทศ และ จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้แก่ประชาชนตัดสินใจ หากเห็นด้วยกับนโยบายกัญชาก็ให้เลือกพรรคภูมิใจไทย แต่หากไม่เห็นด้วยก็เลือกพรรคการเมืองพรรคอื่น ผมไม่มีส่วนได้เสียอะไรเพราะไม่ได้ลงเลือกตั้ง และขอเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยออกมาว่าฝ่ายการเมืองที่อยู่เบื้องหลังผมเป็นใคร เหมือนที่ผมกล้าเปิดเผยว่านายเนวิน ชิดชอบ อยู่เบื้องหลังนายอนุทิน”

ยอมรับเคยขายกัญชาแต่เลิกแล้ว

นายชูวิทย์กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยว่าตนเปิดร้านขายกัญชาเสรี ที่โรงแรมเดวิส บางกอก สุขุมวิท 24 แล้วมาโจมตีนโยบายกัญชานั้น ยอมรับว่าขณะนั้นสามารถขายได้ แล้วทำไมตนจะเปิดขายเองไม่ได้ แต่ภายหลังทราบว่ามีโทษและมีผลต่อเยาวชน จึงเลิกขาย ขอฝากอีกเรื่องหนึ่งคือเรียกร้องไปยังนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้ออกมาแสดงจุดยืนว่าหลังเลือกตั้งจะจับมือกับใคร เพราะเคยประกาศมาตลอดว่าจะไม่จับมือกับฝ่ายเผด็จการ

“อนุทิน” ย้ำมีการเมืองอยู่เบื้องหลัง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่าจะไปเผารังหนูและจะตัดต้นกัญชาหน้ากระทรวงสาธารณสุข เพื่อคัดค้านเรื่องกัญชาของพรรคภูมิใจไทยว่า บอกไปแล้วไม่ให้ราคา จะไม่พูดอีกทำงานดีกว่า และอย่างที่บอกมีการเมืองอยู่เบื้องหลังและรู้ด้วยว่าเป็นใคร แต่เรามั่นใจตัวเอง คนพาลมาจะไปชกกับเขาทำไม หนีได้ก็หนี ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้จะทำให้เสียคะแนนนิยมหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นประชาชนเลือกได้ เมื่อถามว่า เรื่องระหว่างนายชูวิทย์กับพรรคภูมิใจไทยจะจบอย่างไร นายอนุทินตอบว่า ต้องไปถามนายชูวิทย์ เพราะตนจบไปนานแล้ว และไม่เคยเริ่มจึงไม่ต้องมีจุดจบ เรื่องนี้ใครจะสนุก แต่ตนไม่ได้สนุกด้วย และถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยันไม่ลงไปชกด้วยให้ชาวบ้านสนุก

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายชูวิทย์โจมตีนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นายอนุทินหัวเราะและตอบว่า นายเนวินบอกว่าพี่ก็อยู่บ้านของพี่อยู่ดีๆ แค่นั้นเอง จะไปสู้กับใคร พวกเราไม่เคยสู้ใครสักคน อย่าถามเรื่องพวกนี้อีกเลยไม่มีประโยชน์ที่จะโต้ตอบ จะไปชกกันให้ชาวบ้านสนุกคงไม่ใช่ เมื่อถามกรณีที่นายชูวิทย์แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับรูปนายเนวินและนายอนุทิน นายอนุทินตอบว่า ไม่รู้สึกอะไรเลย และถ้าเจอนายเนวิน เจอนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้รอดูว่านายชูวิทย์จะทำหรือไม่ ถ้าทำต่อค่อยว่ากันอีกที เมื่อถามว่า นายชูวิทย์มองว่า การที่มีเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขไปร้านขายกัญชาของโรงแรมนายชูวิทย์ เป็นการกลั่นแกล้ง นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มี และไม่ใช่คำสั่งของตน เรื่องนี้ไม่เคยคิดในหัว มโนกันไปเอง และไม่ใช่หน้าที่ของตน ตรงไหนทำผิดกฎหมายก็มีเจ้าพนักงานไปดำเนินการตามปกติ

“เสี่ยโอ๋” เล่นเชิงรอหลักฐาน “ชูวิทย์”

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคมส่งหนังสือถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพื่อขอข้อมูลและเอกสารหลักฐานปมเงินทอนรถไฟฟ้าสายสีส้ม 3 หมื่นล้านบาท ส่งกลับมาที่กระทรวงคมนาคมภายใน 15 วัน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 13 วัน โดยนับจากวันที่ 27 ก.พ.66 เมื่อถามว่ากระทรวงคมนาคมต้องการขอเอกเอกสารให้ชัดเจนไม่ใช่เน้นลีลาใช่หรือไม่ นายศักดิ์สยามตอบว่า เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบปกติ เมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามที่หนังสือกระทรวงคมนาคมแจ้งไป เมื่อถามว่ากระทรวงคมนาคมจะมีการฟ้องร้องนายชูวิทย์หรือไม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ตอนนี้ขั้นตอนต่างๆรอนายชูวิทย์ชี้แจง ซึ่งเราดำเนินการตามปกติ

“บิ๊กตู่” ยัน รทสช.ไม่ได้ชักใย “ชูวิทย์”

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ครม. กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส่งข้อมูลร้องเรียนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้มให้นายกฯแล้วว่า ทราบมาตลอดอยู่แล้ว มีการรายงานอยู่ขั้นตอนไหนอย่างไร เมื่อถามว่าอำนาจนายกฯสามารถเข้าไปตรวจสอบได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่ได้ ทั้งหมดถ้ามีข้อกล่าวหาก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สอบสวนหาหลักฐาน ในส่วนของนายกฯเป็นผู้อนุมัติในหลักการและนำเข้าพิจารณาให้อนุมัติดำเนินการ แต่ขั้นตอนดำเนินการมีคณะกรรมการซึ่งมีอำนาจสิทธิ์ขาดของเขาอยู่ข้างล่าง เมื่อถามว่าได้คุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ เพราะมีการมองเข้าใจผิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนายชูวิทย์ นายกฯกล่าวว่า ไม่เกี่ยว ไม่ได้เกี่ยวกับตน บอกแล้วว่าวันนี้ ตนเป็นนายกฯ จำเป็นต้องรักษาความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ร่วมกันมาเกือบ 4 ปีแล้ว ส่วนของพรรคการเมืองได้ให้นโยบายไปแล้วจะไม่ไปก้าวล่วงใครทั้งสิ้น เราต้องเป็นสุภาพบุรุษและทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา เรื่องหาเสียงก็ว่ากันไป

เผย “พี่ป้อม” ไม่มีสัญญาจับมือ พท.

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลัง ประชารัฐบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า คุยกันตลอดเวลา วันนี้ก็คุยกันตั้งแต่เช้าแล้ว ยังรักเคารพเหมือนเดิมนั่นแหละ ใครจะพูดอะไรก็พูดกันไป ใครจะเขียนก็เขียนไปเถอะ เมื่อถามว่าพูดได้หรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้งถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะมีพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เอาไว้รอให้เลือกตั้งค่อยว่ากัน เขาไม่พูดกันตอนนี้หรอก เมื่อถามว่า ได้ถาม พล.อ.ประวิตรหรือไม่ กรณีมีข่าวจะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่ได้ถามอะไรหรอก เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ท่านก็บอกว่าไม่ได้พูด ไม่ได้ไปจับมือกับใคร ท่านบอกว่าไม่ได้ไปสัญญาอะไรกับใครไว้ทั้งสิ้น เมื่อถามว่าตกลงนายกฯจะลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ตอบ ยังไม่ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น

เดือดข่าวยุบสภาวันเกิด 21 มี.ค.

เมื่อถามถึงกระแสข่าวจะยุบสภาวันที่ 21 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “มันวันเกิดผมไม่ใช่เหรอ และทำไมต้องยุบวันเกิดผมล่ะ” ผู้สื่อข่าวถามว่า อาจให้เป็นของขวัญประชาชน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ของขวัญของผมให้คนเขารังเกียจผมหรือไง ยุบสภาเพราะเป็นวันเกิดผมหรือไง เธอพูดหมายความอย่างนั้น” เมื่อถามว่า เลี่ยงวันเกิดขยับเป็นวันที่ 20 มี.ค.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละนะ เธอจะรีบร้อนอะไรหนักหนา เมื่อถามว่าวันที่ 8 มี.ค.เร็วเกินไปหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวประชดว่า “เอาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน พอแล้ว” เมื่อถามว่าคำว่าพรุ่งนี้แล้วกันคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบพร้อมเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที

รบ.ยื่นตีความ พ.ร.ก.อุ้มหาย

เมื่อเวลา 09.10 น. ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ได้หารือถึงการพิจารณา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ.2566 ของ ครม.เห็นตรงกันว่า เป็น พ.ร.ก.ที่ทุกฝ่ายไม่เห็นด้วย ทั้งเรื่องยืดเวลาบังคับใช้ออกไปอีก 6 เดือน ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคหนึ่งหรือไม่ เห็นตรงกันว่า ต้องเข้าชื่อกัน 1 ใน 5 ยื่นให้ประธานสภาฯภายใน 3 วัน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ปราศจากข้อสงสัยภายใน 60 วัน แทนที่ต้องรอ 6 เดือนกว่า ส่วนฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้ารวมเสียงลงมติคว่ำไม่ได้ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นเดียวกัน

ภท.ย้ำค้านเลื่อนบังคับใช้

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า จุดยืนของพรรคโหวตไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ไม่มีเหตุจำเป็น ขอให้รัฐบาลรีบแก้ไขให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย บังคับใช้เมื่อวันที่ 22 ก.พ.66 เพราะเป็นปัญหาสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการจัดสรรงบแก้ปัญหาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดซื้อกล้องบันทึกภาพขณะการจับกุมโดยเร็ว เพราะกฎหมายนี้เป็นที่จับตาของต่างประเทศ

สภาเดินหน้าถก พ.ร.ก.ปัญหา

ต่อมาเวลา 09.30 น. รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ.2566 ที่ ครม.เป็นผู้เสนอ ก่อนเข้าสู่วาระนายศุภชัย แจ้งถึงการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.ยื่นลาออกจาก ส.ส. 10 คน และลาออกจากสมาชิกพรรค 2 คน เป็นผลให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของทั้ง 12 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (3) มี ส.ส.ทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่ได้ 405 คน องค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 203 คน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 12 คนที่ลาออก คาดว่าจะไปร่วมงานกับพรรค รทสช. ทั้งหมด เนื่องจาก 7 คน ในจำนวนดังกล่าวไปเปิดตัวกับพรรค รทสช.แล้ว

ฝ่ายค้านกัดฟันแลกยื่นตีความ

จากนั้นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ชี้แจงหลักการและเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนการออก พ.ร.ก.อุ้มหาย ต่อที่ประชุม มี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท.อภิปรายคัดค้าน และเตรียมการยับยั้งกฎหมาย แม้ต้องแลกช่องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.นี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคหนึ่งหรือไม่ ต้องใช้เวลาพิจารณา 60 วัน เข้าทางฝ่ายรัฐบาลก็ตาม

ผบ.ตร.ชักแม่นํ้าทั้งห้ายันไม่พร้อม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ชี้แจงถึงสาเหตุและความเป็นมาของ พ.ร.ก. ว่า แม้จะจัด ซื้อกล้องมาตั้งแต่ปี 62-65 รวมแสนกว่าตัว ยังมีไม่เพียงพอ รวมถึงมีปัญหาข้อปฏิบัติต่างๆมากมาย นอกจากนี้ ระเบียบกลางของกฎหมายก็ยังทำไม่แล้วเสร็จ มีความเห็นไม่ลงตัวในหลายประเด็น ยังไม่มี การซักซ้อมการจับกุมของผู้ปฏิบัติงาน ระบบจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งภาพ และเสียง ตลอดการทำงาน 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วันของตำรวจ ต้องมีความพร้อมทั้งระบบ และพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลต้องเก็บไว้จนกว่าคดีจะสิ้นสุด ในทางปฏิบัติจริงยังมีความไม่พร้อม เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีอำนาจจับกุม และควบคุมตัวก็มีความไม่พร้อมเหมือน ตร.

พท.–ภท.ประสานเสียงจวก รบ.

ต่อจากนั้นนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท.อภิปรายคัดค้านลุกขึ้นสอบถามในที่ประชุมถึงกระแสข่าวที่ ส.ส.เข้าชื่อกันยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.ก.ว่า ใครไปลงชื่อ หากมีการอุ้มหายซ้อมทรมานในช่วงนี้ คนลงชื่อต้องรับผิดชอบด้วย ขณะที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรค ภท. กล่าวว่า รัฐบาลไม่ให้เกียรติสภาฯที่ออก พ.ร.บ.ให้ไปปฏิบัติ ไม่ใช่มาออกให้ พ.ร.ก.เพื่อปิด หยุด ชะลอ การใช้ พ.ร.บ.ไม่มีสภาฯใดในโลกเขากระทำ สภาก้มเลียน้ำลายที่ตัวเองได้ถ่มไว้ อย่าให้สภาฯมันอัปลักษณ์ตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายหรือผู้มีอำนาจรัฐบาลกำลังจะใช้อำนาจของตำรวจน้ำไม่ดีเป็นเครื่องมือในการเลือกตั้งที่จะถึงข้างหน้า

“ชลน่าน” ซัด ครม.อุ้มหาย พ.ร.ก.

กระทั่ง 13.20 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม แจ้งต่อที่ประชุมว่า กรณีนายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรค พปชร.ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ได้ยื่นรายชื่อ ส.ส.ต่อประธานสภาฯให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการทำให้บุคคลสูญหาย จากการตรวจสอบรายชื่อ ส.ส.ที่เข้าชื่อ 100 คน มีความถูกต้อง ดังนั้นการพิจารณา พ.ร.ก.จำเป็นต้องรอการพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญไว้ก่อน ระหว่างนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนลุกขึ้นโต้แย้ง อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. อภิปรายว่า ที่ฝ่ายรัฐบาลใช้ช่องทางยี่นตีความเกรงว่าสภาจะโหวตคว่ำ จึงใช้วิธีดึงเวลาบังคับใช้กฎหมายอีก 2 เดือน ในช่วงเลือกตั้ง ถ้าเกิดความเสียหาย มีการใช้อำนาจล่วงเกินสิทธิเสรีภาพประชาชน คนลงชื่อต้องรับผิดชอบ ชงโดย ครม.กินโดย ครม.และอุ้มหายโดย ครม.น่าอับอาย โดยมีนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป.รองประธานวิปรัฐบาล เป็นผู้ชี้แจงเหตุผลที่ยื่นตีความ

“ชวน” กล่าวอำลาสภาชุดที่ 25

จากนั้นนายชวนกล่าวขอบคุณ ส.ส.และข้าราชการที่ร่วมทำงานหนักตลอด 4 ปี แม้ไม่มีโอกาสได้กลับมาทุกคน แต่ขอให้ ส.ส.ส่วนใหญ่กลับมาทำหน้าที่ต่อไป การเมืองไม่มีแน่นอน ฝ่ายค้านวันนี้อาจเป็นรัฐบาล ส่วนฝ่ายรัฐบาลขณะนี้ อาจเป็นฝ่ายค้าน สิ่งสำคัญคือการพูดอะไรไปว่าไม่ดี วันนั้นก็ต้องไม่ดี หรืออะไรที่วันนี้บอกดี วันนั้นก็ต้องดี ต่อมาเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอ่านพระบรมราชโองการปิดสมัยประชุมสภาในเวลา 13.40 น.

“สมชัย” โพสต์ไว้อาลัย ปธ.สภา

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย (สร.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ประธานชวน หลีกภัย ใช้อำนาจประธานสภา ตรวจสอบการเข้าชื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล อย่างเร่งด่วนทันที ทั้งที่เวลาตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อใช้เวลาภายใน 3 วัน อาศัยจังหวะปิดประชุมสภาน่าจะไม่ถูกต้อง 1.การตรวจชื่ออย่างเร่งด่วน และรีบส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นกลางในการทำหน้าที่ประธานรัฐสภา มุ่งสนับสนุน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หลีกเลี่ยงลงมติคว่ำ พ.ร.ก.เสื่อมเกียรติอย่างยิ่ง 2.รายชื่อที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ส่งออกจากสภาด้วยซ้ำ และธุรการของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับเรื่อง ถึงธุรการรับเรื่อง ยังต้องรอคณะตุลาการฯพิจารณาจะรับหรือไม่รับ ไม่ควรต้องรีบปิดประชุมสภา ที่กำลังพิจารณาวาระดังกล่าว ขอไว้อาลัยต่อการทำหน้าที่ ที่ไม่เที่ยงธรรมของประธาน ชวน หลีกภัย

ครม.ตั้ง “ปลัดฉิ่ง” กก.ผู้ทรงคุณวุฒิ ปปง.

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.อนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอแต่งตั้งนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ปปง. แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2566 เป็นต้นไป

“โรม” ยื่น ผบ.ตร.เอาผิด “ส.ว.ทรงเอ”

ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เพื่อให้ตรวจสอบเอาผิด “ส.ว.ทรงเอ” สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่างนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. กับนักธุรกิจชาวเมียนมา ที่มีข้อครหาเรื่องการฟอกเงินและการค้ายาเสพติด โดยรังสิมันต์กล่าวว่า ตามที่ตนอภิปรายเกี่ยวข้องกับ ส.ว.ทรงเอ และไทยดำ จีนเทา มีหลักฐานต่างๆที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ในการทำคดี ทั้งกรณีของ ส.ว.ทรงเอ และไทยดำ จีนเทา ที่เกี่ยวข้องไปถึงนายกรัฐมนตรี และวันนี้เป็นวันสุดท้ายในสภาฯชุดนี้ เอกสิทธิ์และความคุ้มกันของ ส.ส.จะไม่มีอีกต่อไป จึงขอเริ่มต้นด้วยการยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.เป็นหลักฐาน เอกสารที่เตรียมมาบางส่วนไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน เชื่อว่าจะช่วยให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ได้คล่องตัวมากขึ้น ยืนยันว่าการยื่นหนังสือจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะตั้งใจจะไปยื่นกับอัยการสูงสุด (อสส.) ด้วย เพราะบางประเภทเป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงยื่นต่อสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เพราะก่อนหน้านี้มีการถอนหมายจับ “ส.ว.ทรงเอ” โดยจะแบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ คดีหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับคดีตู้ห่าวและคดี ส.ว.ทรงเอ

“บิ๊กเด่น”ชี้หน้าที่ อสส. แต่เร่งติดตาม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวหลังรับเรื่องว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ จะเร่งตรวจสอบต่อไป ขอทำความเข้าใจว่า กรณี ส.ว.ทรงเอ เมื่อพบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรได้เสนอ อสส. และได้มอบหมายผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกับอสส. ในลักษณะคล้ายกับคดี “ตู้ห่าว” ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยได้สั่งการให้ติดตามความคืบหน้าด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว และให้การสนับสนุนเรื่องการสืบสวน ได้แนะนำไปหลายเรื่อง แต่ทางคดีตนไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ เป็นหน้าที่ของ อสส.

“ปดิพัทธ์” มอบหลักฐานบี้ทหารโกง

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ยื่นหลักฐานกรณีทุจริตบ้านพักสวัสดิการทหาร สาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่เหตุกราดยิงโคราชเมื่อปี 63 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เรียกร้องให้ส่งหลักฐานในการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นายปดิพัทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่รับรู้ภายในกองทัพ แต่ไม่มีการลงโทษใดๆ การอภิปรายผ่านไป 2 สัปดาห์ ยังไม่ได้คำตอบจากนายกฯ วันนี้นายกฯรับหลักฐานถึงมือแล้ว ตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีการช่วยเหลือกัน แม้กองทัพยอมรับและยุติโครงการเจ้าปัญหาไปแล้ว แต่กลายเป็นว่า มีนายพลมาคุกคามคนที่เป็นเหยื่อ ต้องตั้งคำถามว่า วัฒนธรรมไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน เป็นการปิดความผิดหรือไม่ หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคลื่อนไหวอะไรจะยกระดับฟ้องร้องคดีต่อไป

ทสท.ข้องใจประมูลวงโคจรดาวเทียม

ที่พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ผอ.สำนักงานปราบโกง (สปก.) พรรค ทสท.แถลงว่า การประมูลวงโคจรดาวเทียมที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อเดือน ม.ค.ที่มีบริษัทชนะประมูลแล้ว ดูเหมือนเป็นไปตาม พ.ร.บ. กสทช.แต่ตรวจสอบเชิงลึกพบไม่ชอบมาพากล อาจเป็นหลักฐานนำไปสู่การทุจริต ประพฤติผิดมิชอบ ขอถามเหตุใดใช้วิธีการประมูลทั้งที่กฎหมายเปิดกว้าง เช่น วิธีการจัดสรรให้กับหน่วยงานของรัฐโดยตรง หรือเปิดกว้างให้บริษัทต่างๆเข้ามาแข่งขันตรงไปตรงมาหรือไม่ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) รัฐวิสาหกิจของประเทศ เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ทำไมไม่ประมูลวงโคจรที่ดีที่สุด แต่กลับไปประมูลวงโคจรอื่นนำไปประกอบธุรกิจอะไร หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว. กลาโหม มีประโยชน์ทับซ้อนกับการประมูลครั้งนี้หรือไม่

พปชร.ไม่หวั่นถูกเกทับ บลัฟทำได้มั้ย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายบัตรสวัสดิการพลัสของพรรครวมไทยสร้างชาติจะสามารถทำได้หรือไม่ ว่า ยังไม่ได้คำนวณ แต่สามารถไปคำนวณดูเอาได้ว่า 14.5 ล้านคน รวมกับ 5 ล้านกว่าคนที่อุทธรณ์แล้วน่าจะผ่านเกณฑ์สักครึ่ง รวมแล้วน่าจะอยู่ที่ 16-17 ล้านคน ลองคูณดู ปีหนึ่งเป็นเงินแสนๆล้านบาทจะทำอย่างไร เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐที่เพิ่มเงินสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 สามารถทำได้หรือไม่ นายสันติกล่าวว่า อันนี้เราคำนวณไว้แล้วว่าเป็นไปได้ แต่ต้องในกรณีที่พรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯเราจะทำทันที เมื่อถามว่าตอนนี้นโยบายหลายพรรคที่ออกมาเกทับกัน นายสันติกล่าวว่าไม่เป็นไร อยู่ที่ประชาชนจะให้ความเชื่อถือกับนโยบายของพรรคไหน ใครคิดอะไร ต้องมีความสามารถหาเงินมาด้วย ยืนยันมั่นใจ 100% ว่าทุกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ มีงบประมาณ สามารถทำได้ เพราะกลั่นกรองมาแล้ว ตนอยู่กระทรวงการคลังเป็นคนหาเงินอยู่แล้ว

พท.ตั้ง “เสี่ยนิด” นั่ง ปธ.ที่ปรึกษา “อิ๊ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 มี.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นประธานที่ปรึกษา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยจะเข้ามาให้คำปรึกษานโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคเป็นหลัก โดยนอกจากการแถลงข่าวแล้วนายเศรษฐาก็จะร่วมประชุมกับแกนนำพรรคอย่างเป็นทางการด้วย สำหรับนายเศรษฐาเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกคาดการณ์กันว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย

“ก่อแก้ว” ได้ทีเย้ย “ฉิบหายแล้วตู่”

นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ระวังคนข้างกายให้ดี ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์จะโดนต้มหรือไม่ ก่อนหน้านี้มีคนข้างกายให้สัมภาษณ์ใหญ่โต จะมีประชาชนมาฟังปราศรัยกว่าครึ่งแสนที่ จ.นครราชสีมา แต่ภาพที่ออกมาไม่เหมือนที่คุยกันไว้ ถือว่าเสียหน้า ไม่สมศักดิ์ศรี นายกฯอุตส่าห์นั่งเครื่องเจ็ตไปหาเสียง ไม่รู้มีอมค่าใช้จ่ายการขนคนหรือไม่ เนื้อหาปราศรัยก็ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่นโยบายประชานิยมเดิมๆที่กู้เงินมาดำเนินการทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีนโยบายดีๆโชว์ การปราศรัยที่ชูหลัก 3 ท. คือ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะสะท้อนหลัก 3 ก. มากกว่าคือ “กูอยากอยู่ กูกู้แล้ว กูจะกู้ต่อ” ส่วนใครจะมาใช้หนี้ “กูไม่รู้ กูไม่เกี่ยว กูไม่สน” คำอุทาน “ฉิบหายแล้ว” ของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เผลอพูดชื่อพรรคผิด หรือคำอุทาน “ฉิบหายแล้ว” ของคนข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์ที่เห็นคนมาฟังปราศรัยน้อยเกินไปไม่อาจดังเท่าคำอุทานกลุ่มคนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ที่ฟังคำปราศรัยแล้วไม่มีอะไรดึงดูดได้เลยว่า “ฉิบหายแล้วตู่”

ไฟเขียว “วันแม็ป” แก้พื้นที่ทับซ้อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map พื้นที่กลุ่มที่ 3 จำนวน 11 จังหวัด ประกอบด้วยนครราชสีมา บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี มหาสารคามร้อยเอ็ด ชัยภูมิ สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ และเลย (ยกเว้นกรณีอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา) และ จ.ปราจีนบุรี โดยให้หน่วยงานที่มีที่ดินอยู่ในความรับผิดชอบปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map โดยใช้แผนที่ One Map ที่ ครม.ให้ความเห็นชอบแล้วแทนแผนที่แนบท้ายกฎหมาย และใช้เป็นแนวเขตที่ดินของรัฐตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน และมีแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจขึ้นกับประชาชนให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565 ที่ให้นำไปใช้กับทุกกลุ่มจังหวัดเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน และที่ประชุม ครม.ยังรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา และ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นกรณีเร่งด่วน โดยการปรับปรุงแผนที่ One Map กรณีพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน ให้ยึดเส้นแนวเขต ส.ป.ก.

อนุมัติงบกลาง 2 พันล้านให้ 2 รมต.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สำหรับการประชุม ครม.ครั้งที่ 9/66 มีการเสนอวาระเข้าสู่ที่ประชุมมากถึง 86 เรื่อง ทำให้ที่ประชุมแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แม้แต่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ปกติมักจะมีข้อสั่งการในช่วงท้ายการประชุม แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้ มีการอนุมัติงบกลางเกือบ 2 พันล้านบาท ใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 1,037 ล้านบาท ที่เสนอโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (สทบ.) ภายใต้การกำกับดูแลของนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ นอกจากนี้ยังอนุมัติงบช่วยเหลือผู้เสพ, ผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 826 ล้านบาท ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเคยกำชับว่าอย่าเสนองบกลางกันจำนวนมาก เนื่องจากมีจำนวนจำกัด ให้ใช้เฉพาะสำหรับเรื่องจำเป็นเท่านั้น แต่ครั้งนี้กลับมีการอนุมัติงบประมาณจำนวนมาก และหน่วยงานที่ได้ก็เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดรัฐมนตรีที่มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์

หมอขอ “ตะวัน–แบม” เลิกอดข้าว

ด้านความเคลื่อนไหวอดอาหารประท้วงของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม ที่บริเวณหน้าศาลฎีกา เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ข้างสวนหย่อมรูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผม ทิศเหนือของศาลฎีกา พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 นำแพทย์ รพ.ตำรวจ และผู้สังเกตการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาขอตรวจอาการตะวัน-แบม และสอบถามข้อมูลโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า มีนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เดินออกมารับ ปรากฏว่าตะวันและแบม เปลี่ยนท่าทีจากที่ประกาศว่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายถ้ามีแพทย์จาก รพ.ตำรวจมาตรวจ เปลี่ยนมาเป็นยินยอมให้เข้ามาตรวจร่างกายได้ภายใต้เงื่อนไขไม่อนุญาตให้ทำการเจาะเลือดวัดความดัน เนื่องจากมีบุคลากรที่ทนายความประสานทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว นายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า แพทย์เห็นตรงกับทนายความว่าทั้งคู่ไม่สมควรอดอาหารต่อ เนื่องจากส่งผลเสียต่อสุขภาพมาก แพทย์กำชับว่าหากเกิดวิกฤติให้ติดต่อทันทีเพื่อนำรถพยาบาลมาให้การรักษา หรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที ขณะที่ พ.ต.ต.นพ.ปีเฉลิม พิสนุแสน แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินหน่วยส่งกลับ รพ.ตำรวจ กล่าวว่า ถ้าปล่อยให้อดอาหารต่อเสี่ยงภาวะไตวาย ตับวาย ทุพพลภาพได้

“พิธา” นำทีม ส.ส.ก้าวไกลเยี่ยม

ด้าน พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา กล่าวว่า จะไม่สลายการชุมนุมตามที่เป็นข่าว แต่เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย หากชุมนุมจุดใดที่เป็นปัญหาต้องให้ผู้ที่ขอจดแจ้งการชุมนุม ไปแก้ไขปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่กีดขวางประชาชนที่ใช้ท้องถนน ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมระบุว่า มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีขว้างปาสิ่งของใส่นั้น จะเพิ่มกำลังเข้ามาดูแลให้

ต่อมาเวลา 17.50 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำ ส.ส.และผู้สมัคร ส.ส.พรรค มาเยี่ยมตะวัน-แบม แต่ไม่ได้เข้าไปพบในเต็นท์ เพียงสอบถามจากนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ และนั่งพูดคุยกับนายสมหมาย ตัวตุลานนท์ พ่อของตะวัน นางพรนิพาภู่พงษ์ แม่ของแบม ที่ข้างเต็นท์ นายพิธากล่าวว่า เหลืออีกเพียง 3 คน ที่ยังไม่ได้ประกันตัว ดังนั้นถ้าได้ประกันจะทำให้ชีวิตของตะวัน-แบม ไม่ต้องมาแขวนบนเส้นด้ายอีกต่อไป ดังนั้นคำพูดที่ว่าความยุติธรรมที่ล่าช้ากลายเป็นความอยุติธรรม เป็นคำพูดที่มีน้ำหนักมาก สามัญสำนึกของระบบยุติธรรมที่ให้สันนิษฐานว่า ผู้ที่ยังไม่ได้รับการตัดสินสิ้นสุดจากศาลต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อนควรต้องมีหวังอยากให้ยุติได้โดยไม่ต้องสูญเสีย และขอคารวะความกล้าหาญของทั้งคู่ จากนั้นนายพิธาได้ไปร่วมในกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ยืนหยุดขัง 1.12 ชม. ครั้งที่ 265 ของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ