พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้โพสต์ “จดหมายฉบับที่ 3” ลงเฟซบุ๊ก เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ “ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง” ท้ายจดหมายระบุว่าเป็นการเขียนของทีมเสนาธิการฝ่ายการเมือง แต่เนื้อหาของจดหมาย “ผ่านการตรวจทานจากผมแล้ว และผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร” ดังนั้น เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้จึงสะท้อน “แนวคิดใหม่ทางการเมือง” ของ พล.อ.ประวิตร ที่เริ่มมีความเชื่อมั่นใน “ระบอบประชาธิปไตย” แตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องรักที่ทิ้งไปตั้งพรรคใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งยังมีความเชื่อมั่นในระบบ “อำนาจนิยม” มากกว่าประชาธิปไตย

การเลือกตั้งทั่วประเทศ 7 พฤษภาคม จะเป็นการพิสูจน์ครั้งสำคัญว่า คนไทยชอบผู้นำ ที่เป็น “เผด็จการอำนาจนิยม” หรือ “ประชาธิปไตยเสรี” ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

จดหมายลุงป้อม เปิดฉากด้วยการเล่าถึง เหตุผลที่ตัดสินใจทำงานการเมืองต่อว่า เหตุผลหนึ่งคือ ความผูกพันกับคนที่ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาจนสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาครบ 4 ปีเต็มๆ (แต่ไม่พูดถึง “น้องรัก” ที่อาศัยพรรคพลังประชารัฐก้าวขึ้นไปเป็นนายกฯ) ทุกคนล้วนมีความหวังความฝันที่จะทำงานการเมืองต่อไป เมื่อถึงวันที่จะต้องเลือกตั้งกันใหม่ ผมคิดแค่ เอาตัวรอด ทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐที่ยังมีความฝันเต็มเปี่ยมได้อย่างไร

จดหมายลุงป้อมระบุว่า มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ จะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า “กลุ่มอีลิต” เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ มองความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมืองด้วยความไม่เชื่อถือและความไม่เชื่อมั่น ลามไปสู่ ความข้องใจในประชาธิปไตย และ ความรู้ความสามารถของประชาชนในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครองอำนาจบริหารประเทศ

...

ทำให้ “กลุ่มอีลิต” ผู้มีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศเหล่านี้ เห็นดีเห็นงามกับการ “หยุดประชาธิปไตย” เพื่อปฏิรูปหรือปฏิวัติกันใหม่

หลังจากที่ตนเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง ตั้งพรรคการเมืองแล้ว ทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วยระบอบประชาธิปไตย แม้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ หาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมา “ฝ่ายอำนาจนิยม” จะพ่ายแพ้ต่อ “ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกคราว ความรู้ความสามารถของ “กลุ่มอีลิต” ทำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง

พล.อ.ประวิตร ระบุในจดหมายว่า นี่คือต้นตอของปัญหา ที่ “สร้างความขัดแย้ง” ขยายเป็น “ความแตกแยก” ระหว่าง “อำนาจนิยม” กับ “ฝ่ายเสรีนิยม” ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเองชนะอย่างเด็ดขาด ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ

“กลุ่มอีลิต” ในจดหมายลุงป้อม แม้ไม่เอ่ยชื่อคนอ่านก็รู้ว่าเกี่ยวโยงกับ “น้องรัก” ผู้ชื่นชอบ “อำนาจนิยม” และ “ไม่ชอบนักการเมือง” เคยชี้นิ้วด่ากราดนักการเมืองในสภามาแล้ว

“กลุ่มอีลิต” ใน 8 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติตามที่ พล.อ.ประวิตร ระบุในจดหมาย แต่ยังเป็นยุคที่การทุจริตคอร์รัปชันเฟื่องฟูที่สุด ยาเสพติดระบาดมากที่สุด ยาบ้ามีราคาถูกที่สุด ทุกครัวเรือนปลูกกัญชาพี้เองขายกันเองได้เสรี โดยมี คนรวยกระจุกอยู่เพียงกลุ่มเดียว ที่สนิทสนมกับผู้มีอำนาจ ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไรคงพอจะมองเห็น.

“ลม เปลี่ยนทิศ”