“สมชัย” ฟันธง ระเบียบใหม่ กกต. ติดเทอร์โบ อาจไม่แฟร์ เร่งคดีเก่าบางพรรครับเงินเทา 3 ล้านบาทไม่ได้ เชื่อ หากยุบพรรคก่อนเกิดคะแนนเทเหมือนไทยรักษาชาติ แต่ถ้ายุบหลังเลือกตั้งเกิดงูเห่าแน่
วันที่ 19 ก.พ. 2566 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงการออกระเบียบใหม่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะทำให้เกิดการยุบพรรคการเมืองเเบบติดเทอร์โบ ว่า นี่เป็นระเบียบของ กกต.ที่เคยออกมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2564 เป็นระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งระเบียบในปี 2564 ไม่ได้มีกรอบเวลาในการเร่งรัดให้เกิดการทำงาน
แต่ทั้งนี้ ในปี 2566 ระเบียบใหม่ที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2566 มีการออกระเบียบ อาทิ ระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้ง มีความหนา 248 หน้า ตนวิจารณ์ถึงการไปแอบเอาเรื่องการรายงานผลเลือกตั้งแบบไม่เป็นทางการออกทั้งหมวด ซึ่งเดิมระเบียบเก่ามีเรื่องหมวด 1 เรียกว่า หมวดการรายงานผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ มีสาระสำคัญ 4 ข้อ วันนี้หายไปทั้งหมวด กลายเป็นว่าต่อจากนี้ไปไม่มีระบบนี้แล้ว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ต่อมาระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมือง เวลาที่มีกรณีในเรื่องความผิดตามมาตรา 92 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นข้อหาหนักเกี่ยวกับการยุบพรรคทั้งหมด อาทิ เรื่องล้มล้างการปกครอง รับเงินต่างชาติ มีคนครอบงำพรรค พรรครับเงินจากแหล่งเงินทุนที่มีความเป็นไปได้ว่าเป็นแหล่งเงินทุนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น เงินบ่อน เงินค้ายาเสพติด ซึ่งเดิมในตัวระเบียบเก่าไม่ได้มีการระบุขั้นตอนเชิงกรอบเวลาไว้
...
ขณะที่ระเบียบใหม่กำหนดเลยว่าถ้ามีคนร้องก็ตาม หรือมีความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง คือ เลขาธิการ กกต. ให้รีบเสาะหาข้อเท็จจริงให้เสร็จภายใน 7 วัน เพื่อเสนอนายทะเบียนว่าจะรับเรื่องหรือโยนทิ้ง เมื่อรับมาเเล้วให้ฝ่ายสำนักงานฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริง เวลา 30 วัน ถ้าทำไม่ทันขยายได้ครั้งละ 30 วัน หลังจากตรวจสอบแล้วถ้าเห็นว่ามีมูลผิดจริงก็ให้เสนอที่ประชุม กกต. และมีผลบังคับอีกว่าที่ประชุม กกต. ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน กล่าวโดยสรุปคือ มีกรอบ 7 วันข้างหน้า มีกรอบ 30 วันท้าย และถ้า กกต. เห็นว่าผิดก็ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ
“กรอบเร่งรัดดังกล่าวอาจเป็นเครื่องมือให้ กกต. ทำงานได้เร็ว แต่ก็กังวลว่า ถ้ามันเป็นการเลือกปฏิบัติกับพรรคบางพรรค หรือบางกรณี มันก็จะนำไปสู่การยุบพรรคอย่างรวดเร็วหรือเปล่า ระเบียบดังกล่าวยังบอกอีกว่า เรื่องที่เคยมีการร้องมาก่อนในอดีตภายใต้ระเบียบเก่าก็ให้ใช้ระเบียบเก่าๆ ไป ผมว่ามันประหลาด คือเหมือนกับว่าเรื่องที่ร้องในอดีตก่อนหน้าประกาศวันนี้ สมมติมีคนไปร้องว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งรับเงินบริจาค 3 ล้านบาท เงินสีเทาทุนจีน เป็นต้น คือมีคนไปร้องแต่ปรากฏเรื่องนี้เป็นการร้องภายในใต้ระเบียบเก่า ก็จะใช้ระเบียบเก่าทำต่อไป แต่เรื่องใหม่ถึงจะใช้ระเบียบใหม่ ตรงนี้ผมตั้งข้อสังเกตว่าไม่ค่อยถูกต้อง”
ผู้สื่อข่าวถามต่อ หมายความว่าสามารถนำเรื่องที่ร้องอยู่เก่านำมาใช้กับระเบียบที่ออกมาใหม่ได้หรือไม่ได้ นายสมชัย ตอบว่า ก็เขาไม่ให้ เขาบอกว่าเรื่องเก่าก็ใช้กับระเบียบเก่า เรื่องใหม่ถึงใช้ระเบียบใหม่ ซึ่งตนว่ามันก็ไม่แฟร์ เมื่อถามต่อไป แสดงว่าบางพรรคในอดีตที่เคยถูกร้องจะรอดจากกฎหมายใหม่หรือไม่ นายสมชัย ระบุว่า สมมติง่ายๆ บางพรรคเคยถูกร้องเรื่องรับเงินบริจาค 3 ล้านบาทในอดีต แล้วก็มีแนวโน้มว่าเงินดังกล่าวจะเป็นเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย เมื่อมีคนร้องไปเเล้วแต่ภายใต้ระเบียบใหม่นี้ก็กลายเป็นว่าไม่มีผลเร่งรัดกับเรื่องนั้น นึกออกหรือไม่
ขณะที่คำถามว่าทำไม กกต. ต้องมาเร่งออกกฎระเบียบติดเทอร์โบในช่วงนี้ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคไหนเสี่ยงโดนกฎหมายติดเทอร์โบเล่นงานมากที่สุด นายสมชัย เผยว่า ประชาชนทั่วไปสงสัยว่าเหตุใดมาเกิดช่วงนี้ จะเป็นแนวโน้มในการร้องเพื่อให้ยุบพรรคใดพรรคหนึ่ง จนกระทั่งทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งหรือไม่ ทำไมเรื่องในอดีตกลับไม่เร่งรัด ส่วนประเด็นที่ว่าจะเป็นเครื่องมือทำให้พรรคบางพรรคถูกยุบในช่วงนี้หรือไม่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดการกลั่นแกล้งในเรื่องนี้ ชาวบ้านจะมองว่าบางพรรคจะชนะเลือกตั้งหรือไม่ เลยต้องใช้วิธีการเตะตัดขา พร้อมเรียกร้อง กกต.ออกมาพูดให้ประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลการออกระเบียบนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนของถามว่าจะเกิดวิกฤติรอบใหม่หรือไม่ ถ้ากฎหมายติดเทอร์โบยุบพรรคทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง นายสมชัย ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ในอดีตชาวบ้านรู้สึกอึดอัดต่อการใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม และไปเอื้อประโยชน์ต่อพรรคใดพรรคหนึ่ง ไปลงโทษพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นคือทางออก ถ้าประชาชนเขาอยากเลือกพรรคไหนก็แล้วเเต่เขา ไม่ใช่ใช้เครื่องมือเเบบนี้ทำลายบางพรรค แต่ถ้าเกิดยุบพรรคจริงผลอาจเกิดเป็นความไม่พอใจในหมู่ประชาชน ขยายตัวไปถึงไหนนั้นพูดยาก ถ้าหากกรณียุบพรรคก่อนวันเลือกตั้งก็อาจจะเกิดการถ่ายเทคะเเนนของประชาชน เหมือนกับกรณีของพรรคไทยรักษาชาติ เป็นต้น แต่ถ้าเกิดยุบหลังเลือกตั้งแล้ว จะกลายเป็นเรื่องของการทำให้เกิดการย้ายพรรคกันอีก ซื้อขายตัว ส.ส.กันอีก เกิดงูเห่าเพื่อให้มาสังกัดพรรคตัวเอง ก็จะไม่เป็นผลดีกับการเมืองไทย.