ประธานวิปฝ่ายค้าน ร่ายยาวปิดจบอภิปรายรัฐบาล หวังประชาชนจะคิดได้เลือกตั้งหน้า พรรคไหนพูดแล้วทำ พูดแล้วไม่ทำ ด้าน “สุชาติ” ทิ้งท้าย ผู้ที่อาสามาเป็นนายกฯคนต่อไป ต้องเข้าใจระบบรัฐสภา

เมื่อเวลา 22.55 น. วันที่ 16 ก.พ. 2566 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน) ได้กล่าวอภิปรายรัฐบาล ในการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 เป็นคนสุดท้าย โดยได้ไล่เลียงนโยบายของรัฐบาลที่ให้ไว้กับรัฐสภาและประชาชน ว่าเหตุใดไม่ทำ และทำไมถึงล้มเหลว เป็นเพราะบ่งบอกถึงคนบริหารว่ามีวิสัยทัศน์ บริหารงานเป็น การทำงานสำเร็จหรือไม่ก็ดูที่นโยบายเช่นเดียวกัน ซึ่งนายกฯ ชอบตอบว่าทำเยอะ แต่ไม่ทราบว่าทำเยอะมากน้อยแค่ไหน จึงขอยกนโยบายหลักแก่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จำนวน 24 ข้อ โดยมี นโยบายหลัก 12 ข้อ และ เร่งด่วน 12 ข้อ

โดยนโยบายหลักประกอบด้วย การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย การกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งของฐานราก เนื่องจากคนไทยจนลง การสร้างความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย

ขณะที่นโยบายเร่งด่วน คือ มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและนวัตกรรม การยกระดับศักยภาพของแรงงาน การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต การช่วยเหลือเกษตรกร การแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน การแก้ปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงการราชการ การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 สนับสนุนให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนและดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือ เรียกว่าปฏิรูปการเมือง

...

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน)
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน)

นอกจากนี้ นายสุทิน ยังสรุปการอภิปรายของสมาชิกฝ่ายค้าน ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ทุนจีนสีเทา และที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลานชายนายกฯ โดยยกเหตุผลว่ากิจการรุ่งเรืองมากในรัฐบาลยุคนี้ หรืออาจมีผลประโยชน์แอบแฝง รวมถึงเรื่อง สมาชิกวุฒิสภา ที่อาจเอื้อต่อพรรคที่ พล.อ.ประยุทธ์ สังกัด และเรื่องเศรษฐกิจที่มองว่าไทยน่าจะก้าวไปสู่ประเทศรายได้สูงได้แล้ว แต่วันนี้ยังอยู่ที่รายได้ปานกลางสู่สูง รวมถึงคะแนนด้านการศึกษาของไทย รั้งท้ายอันดับโลก อีกทั้งสถานะเวทีโลกของไทยยังเสียไป การลงนาม FTA ก็ช้ามาทำปลายรัฐบาล

“ถ้าเราเข้ามาแล้วทำ ใครจะมายึดอำนาจ มาปฏิวัติ ทำไม่ได้ วันนี้เสียใจ ที่ท่านเข้ามาสภาแล้วทำไม่ได้ แล้วมาด้อยค่าพวกเราอีก ใครไปว่าอะไรไว้ เลือกตั้งคราวหน้า ชาวบ้านจะเชื่อไม่เชื่อ เป็นกรรมของท่าน แต่ที่เสียใจคือ ท่านทำให้ประชาธิปไตย สภาโดยรวมมันตกต่ำ และเสียใจที่มาลดความน่าเชื่อสภา จึงขอให้ชาวบ้านแยกแยะ เพราะพรรคการเมืองที่พูดแล้วทำ ก็มี แต่พรรคการเมืองที่พูดแล้วไม่ทำ หวังว่าประชาชนจะคิดได้” นายสุทิน กล่าว

นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 1
นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 1

จากนั้น นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยการขอบคุณสมาชิกทุกคนทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล และคณะรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ที่บางครั้งต้องการกระทบกระทั่งและต่อว่ากันบ้าง ถือเป็นการทำหน้าที่

“บุคคลใดที่อาสามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ก็ต้องเข้าใจระบบของรัฐสภาของเรา นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของทุกฝ่าย” นายสุชาติ กล่าว

จากนั้น นายสุชาติ ได้กล่าวปิดจบการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ในเวลา 00.35 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังปิดการประชุม ส.ส. พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างโบกมือให้สื่อมวลชนถ่ายภาพอีกด้วย

ส.ส. พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างโบกมือให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ หลังปิดประชุมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152
ส.ส. พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างโบกมือให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ หลังปิดประชุมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152

ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์