“พิธา” พร้อมทนายความ เข้าเยี่ยม “ตะวัน-แบม” พร้อมอัปเดตอาการล่าสุด ทางด้านกรมราชทัณฑ์ เผย รพ.ธรรมศาสตร์ ตอบรับแล้ว เตรียมส่งตัวทั้งคู่ไปรักษา หลังอดข้าวและน้ำเข้าวันที่ 7

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้มีการเปิดเผยคำชี้แจงทนายความเข้าเยี่ยม น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม 2 เยาวชนนักกิจกรรมทางการเมือง ที่ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 ในวันนี้ (24 ม.ค. 2566) ว่า ทนายความได้เข้าเยี่ยม ตะวันและแบม ตั้งแต่เวลาประมาณ 11.00 น. โดยในช่วงแรกมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะนายประกันและผู้กำกับดูแลของตะวัน เข้าเยี่ยมด้วยพร้อมกัน

จากการสอบถามอาการได้ความว่า ทั้งคู่มีอาการหน้าแดง รู้สึกตัวร้อน และทรมานจากความรู้สึกไม่สบายตัว สืบเนื่องจากสาเหตุใดไม่ทราบ โดยทั้งคู่พยายามล้างหน้าและอาบน้ำแต่ไม่สามารถบรรเทาอาการทรมานได้ทั้งหมด จึงไม่สามารถนอนหลับได้ตลอดคืน และหลับได้เป็นระยะๆ มีความรู้สึกอยากอาเจียนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีสิ่งใดออกมาจากร่างกายอีก ทั้งยังเวียนหัวตลอดเวลา พะอืดพะอม และรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติอยู่ตลอดเวลา โดยตลอดการเข้าพบกับทนายความ ทั้งคู่มีอาการจะอาเจียนตลอดเวลา

ขณะที่ก่อนจะทนายความเข้าเยี่ยม ตะวันและแบม แจ้งว่ามีบุคคลที่แจ้งว่าตนเป็นผู้อำนวยการ นำบันทึกข้อความมาเพื่อให้ทั้งคู่มอบความยินยอมที่จะนำพาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น โดยมีการพูดคุยเป็นอย่างดี และมีเจ้าหน้าที่แจ้งประกอบว่าให้เห็นใจพวกตนที่ต้องเฝ้าด้วย ตะวันและแบมจึงเกิดความเกรงใจและให้ความยินยอมด้วยการเขียนบันทึกข้อความดังกล่าว ซึ่งไม่มีการระบุว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งใด ต่อมาเมื่อทราบว่าทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์แจ้งว่าจะส่งทั้งคู่ไปโรงพยาบาลตำรวจ ตะวันและแบมจึงแจ้งว่าขอเดินทางไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพราะมั่นใจว่าไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์

...

ทั้งนี้ ตะวันและแบมยังยืนว่าจะอดน้ำและอาหารต่อไป การเดินทางไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ หากทางแพทย์ต้องการประสงค์จะดำเนินการไปด้วยการใด จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและความยินยอมของตะวันและแบมเท่านั้น โดยทนายความแจ้งความประสงค์ของตะวันและแบมต่อโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นหนังสือ พร้อมทั้งให้ทั้งคู่แจ้งความจำนงถึงความต้องการที่จะเดินทางไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ทั้งคู่ได้แจ้งความประสงค์ฝากข้อความถึงพ่อกับแม่ ซึ่งทนายความได้แจ้งแก่แบมว่า พ่อของแบมได้โทรศัพท์มาหาและฝากข้อความมาว่า “พ่ออยู่ข้างแบมนะ” ทำให้แบมร้องไห้ออกมา พร้อมฝากข้อความว่า ในวันที่ตนเดินทางออกจากบ้านมานั้นพ่อได้ตะโกนบอกแบมว่า “ต้องกลับมาหาพ่อให้ได้” และแบมได้สัญญาไว้แล้วว่าจะกลับไป ทางด้านตะวันแจ้งความประสงค์ให้ฝากข้อความถึงพ่อกับแม่ของตนว่า “หนูรู้ว่าพ่อแม่เข้มแข็งมาก หนูไม่ยอมแพ้หรอก หนูยังสู้อยู่นะ อยากให้พ่อแม่รู้ว่าหนูเองก็ยังสู้อยู่ทุกวินาที พ่อแม่ก็รู้ว่าหนูไม่เคยยอมแพ้ไม่ว่ากับเรื่องอะไร เรื่องนี้หนูก็จะไม่ยอมแพ้มันอีกเช่นกัน” พร้อมทั้งร้องไห้เช่นกัน

ในช่วงท้ายของแถลงการณ์ระบุว่า ทั้งคู่ได้รับทราบว่าหากไม่มีการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่น ทั้ง 2 คนเข้าใจว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ยังคงยืนยันเช่นเดิม

ทางด้าน นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่ น.ส.ทานตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ผู้ต้องหาคดี ม.112 ได้งดน้ำและอาหารตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 18 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา และถูกส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2566 ซึ่งทั้งคู่ยืนยันปฏิเสธการรักษา และแจ้งความประสงค์ที่จะรับการรักษาจากโรงพยาบาลภายนอกนั้น

อาการล่าสุดวันนี้ได้รับรายงานจาก นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ว่า น.ส.ทานตะวัน และ น.ส.อรวรรณ มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปากแห้ง คลื่นไส้ ปัสสาวะได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งอาการทั้งหมดเกิดจากการอดน้ำและอาหารต่อเนื่องถึงปัจจุบันเป็นวันที่ 7 และยังคงปฏิเสธยาและสารน้ำทางหลอดเลือด ซึ่ง ทั้งคู่ได้แจ้งว่ารู้สึกไม่ไหว แต่ยังคงยืนยันที่จะอดอาหารและน้ำ รวมถึงปฏิเสธรับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์

ดังนั้น เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์จึงได้จัดเตรียมเอกสาร เตรียมความพร้อมในการส่งตัวเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลภายนอก ต่อมาในเวลา 17.41 น. ได้รับการตอบรับจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ที่จะรับตัว น.ส.ทานตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมส่งตัวทั้ง 2 คนไปรับการรักษาต่อ

รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้ป่วยเป็นสำคัญ จึงได้ควบคุมดูแลโดยจัดทีมแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) คอยดูแลใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขังที่อดอาหาร.