“ทนายตั้ม” โต้เดือด ประเด็นอดีตรองนายกฯ ย. แจ้งความร้องทุกข์ลูกความร่วมทีมตบทรัพย์ ย้ำตอนแรกฟ้องร้องแบบเงียบๆ ออกมาแฉเพราะถูกคุกคามหวั่นความปลอดภัย ตั้งข้อสังเกตกรณีอ้างมีพิธีสู่ขอต้องมีภาพหลักฐาน ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหาเหตุเอาทรัพย์สินคืน ขู่ฟ้องกลับ อดีตรองนายกฯ ย.ฐานแจ้งความเท็จ ด้านสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาตลิ่งชัน 2 นัด สั่งคดีร่วมกัน ฉ้อโกงวันที่ 16 ก.พ. ตำรวจ สน.บางยี่ขัน รายงานแสดง ผลการบันทึกคดี รองนายกฯ ย. ให้การว่า ให้ทรัพย์สินไปทั้งหมด 7 รายการ เพราะหลงรัก มีทั้งเงินสดนับ 10 ล้านบาท บ้าน รถ และทองคำ รวมมูลค่า 19,419,000 บาท และถูกปิดบังข้อเท็จจริงกรณีฝ่ายหญิงแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว

กรณี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาเปิดประเด็นสร้างความฮือฮาในสังคม รับมอบอำนาจจากสามีชื่อย่อ ก. เป็นโจทก์ฟ้องแพ่งเรียกค่าตอบแทนจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. เป็นจำเลยต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตั้งแต่เดือน ธ.ค.65 กรณีเป็นชู้กับภรรยาของตน อ้างว่ามีหลักฐานทั้งข้อความพูดคุยโต้ตอบใช้คำว่า “จ๊ะผัว-จ๊ะเมีย” และภาพถ่ายวาบหวิวระหว่างอยู่ด้วยกันเป็นหลักฐาน หลังกลายเป็นข่าวฉาวเป็นที่สนใจของสังคม คาดเดาว่าเป็นใคร ต่อมานายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ไม่ใช่บุคคลที่ทนายตั้มระบุแน่นอน ล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน สั่งฟ้อง น.ส.ธ. ภรรยา นาย ก. สามี และพ่อแม่ฝ่ายหญิง ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ส่งพนักงานอัยการตลิ่งชัน 2 พิจารณา หลังอดีตรองนายกฯ ย. แจ้งความร้องทุกข์เอาผิดไว้

ความคืบหน้าจาก บมจ.อาร์เอส เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 11 ม.ค. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เผยกรณีอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย.แอบมีสัมพันธ์กับภรรยาของสามีรายหนึ่งกำลังฟ้องร้องกันว่า ล่าสุดมีกระแสข่าวตำรวจ สน.บางยี่ขัน ขอศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับ น.ส.ธ. เป็นผู้ต้องหาที่ 1 นาย ก.สามี เป็นผู้ต้องหาที่ 2 นาง ข.เป็นผู้ต้องหาที่ 3 และนาย พ.เป็นผู้ต้องหาที่ 4 (มารดาและบิดาผู้ต้องหาที่ 1) ครอบครัวฝ่ายหญิงข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เพื่อเรียกสินสอดคืนจากหญิงสาวและครอบครัว กรณีนี้ฝ่ายนาย ก. ลูกความตนรวมถึงภรรยากับแม่ไปให้การตำรวจแล้ว แต่คนพ่อไม่ได้ไปให้การเพราะมีหมายจับคดีเช็คเด้งติดตัวอยู่ หากไปพบตำรวจก็โดนจับทันที การแจ้งความดังกล่าวเป็นความต้องการที่อดีตรองนายกฯอยากให้ภาพปรากฏบนสื่อ

...

“หลังคดีสั่งฟ้องในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ผมจะทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้สามีที่เป็นลูกความ โดยให้อดีตรองนายกฯมาให้การด้วยว่า เคยรู้จักหรือพบกับลูกความผมหรือไม่ ส่วนกรณีที่อ้างว่า ถูกหลอกเอาทรัพย์สินไป 7 รายการนั้น ขณะเกิดเหตุมีใครอยู่บ้าง พ่อแม่และลูกความผมเกี่ยวข้องอย่างไร เรื่องข้ออ้างการสู่ขอฝ่ายหญิงนั้น อดีตรองนายกฯไปกับใคร มีสักขีพยานและหลักฐานขณะทำพิธีหรือไม่ ท้ายสุดคือ ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทนั้น นำไปให้ฝ่ายหญิงเมื่อใด ลูกความผมอยู่ด้วยหรือไม่” นายษิทรากล่าว

นายษิทราเผยอีกว่า กรณีทำพิธีสู่ขอต้องมีภาพหลักฐาน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหาเหตุเอาเงินคืน ตำรวจต้องไปสืบหาเส้นทางการเงิน 20 ล้านบาท ที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงไปด้วย ตนตั้งข้อสังเกตว่า หากอดีตรองนายกฯรู้ว่าตัวเองโดนหลอก เหตุใดถึงไม่มาให้ข่าวแต่แรก กลับรอให้มีภาพหลุดมาก่อน นอกจากนี้หลังการแถลงข่าวครั้งแรกยังมีผู้ประสานมาหาว่า ต้องการให้จบเรื่องนี้ด้วย ตนยังเชื่อมั่นในลูกความตัวเองเพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด จากนี้เตรียมดำเนินคดีกลับอดีตรองนายกฯฐานแจ้งความเท็จ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง พร้อมจะให้การช่วยเหลือลูกความตนในคดีฉ้อโกงที่ถูกแจ้งความ

นายษิทรายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่กระบวนการตบทรัพย์ เพราะฟ้องร้องตั้งแต่แรก หากเป็นการตบทรัพย์ต้องมีการต่อรองเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ฝั่งตนฟ้องร้องอย่างเงียบๆมาตลอด กระทั่งเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจึงต้องออกมาเป็นข่าว เนื่องจากสามีนักธุรกิจลูกความตนถูกคุกคามจนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ลูกความตนไม่มีลูกกับภรรยาคู่กรณี ตอนนี้แยกกันอยู่ ส่วนขั้นตอนการฟ้องหย่ากำลังดำเนินการและฟ้องหย่าเนื่องจากอดีตรองนายกฯเป็นชู้ในสำนวนเดียวกัน ก่อนที่อดีตรองนายกฯจะแจ้งความตำรวจดำเนินคดีข้อหาร่วมกันฉ้อโกง

ต่อมาเวลา 16.00 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ข้อความว่า เรื่องนี้ชักสนุกใครกันแน่ทำเป็นขบวนการ!? คดีนี้มีการอ้างว่าอดีตรองนายกรัฐมนตรีรักจริง มีผูกข้อไม้ข้อมือและเอาสินสอดของหมั้นให้ฝ่ายหญิง ถ้าจะเรียกคืน ตามกฎหมายมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอดีตรองนายกรัฐมนตรีรู้อยู่เต็มอกว่า ตัวเองมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่ จะไปหมั้นกับผู้หญิงอื่นได้ยังไง และที่สำคัญการทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหนไปบ้างครับ มีรูปหลักฐานซักรูปหรือเปล่า หรือเป็นแค่ข้ออ้างลอยๆเพื่อแก้เกมส์ไปวันๆ ส่วนการจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงมีสามีแล้ว คนระดับนี้ก่อนจะทำพิธีจะไม่เช็กกันเลยเหรอ หรือรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่สนใจแค่นั้นเอง ติดตามให้ดีนะครับ พรุ่งนี้มีเซอร์ไพรส์

สำหรับรายละเอียดคดีอาญาในชั้นศาลอาญาตลิ่งชัน มีรายงานว่า เมื่อเช้าวันที่ 10 ม.ค. พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน นำคำร้องขอผัดฟ้องคดีที่กล่าวหา น.ส. ธ. นาย ก. สามีนาง ข. มารดา น.ส. ธ. และนาย พ.บิดา น.ส.ธ เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับฐานร่วมกันฉ้อโกง ตาม ป.อาญามาตรา 341 ประกอบ 83 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี โดยคำร้องผัดฟ้อง ขอผัดฟ้องเฉพาะผู้ต้องหาที่ 1-3 เท่านั้น เพราะผู้ต้องหาที่ 4 ยังหลบหนีและไม่ได้นำตัวผู้ต้องหามาเพราะปล่อยตัวในชั้นสอบสวน ส่งสำนวนพร้อมความเห็นควรฟ้องตาม ป.วิอาญามาตรา 140 และ 141 แก่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชันแล้ว

คำร้องผัดฟ้องใจความว่า ระหว่างปี 64-65 นาย ย.ผู้กล่าวหาคบหากับ น.ส.ธ.โดยไม่ทราบว่า มีสามีและจดทะเบียนแล้ว จากนั้นมอบทรัพย์สินให้จำนวนมาก มีผู้ต้องหาที่ 3-4 ร่วมหลอกลวง เมื่อได้ทรัพย์สินแล้วหลบหน้าไปไม่สามารถติดต่อได้ ต่อมาทราบว่าผู้ต้องหาที่ 1 กับ 2 จดทะเบียนสมรสกันแล้วและยังอยู่กินกัน อีกทั้งทรัพย์สินทั้งหมดตกไปอยู่กับผู้ต้องหาที่ 1-4 เมื่อผู้กล่าวหาไปร้องทุกข์แล้ว พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ต้องหา ผู้ต้องหาที่ 4 ไม่มาจึงขอศาลออกหมายจับ ขอให้ผัดฟ้องมีกำหนด 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-15 ม.ค.นี้ (ผัดได้ 5 ครั้ง ครั้งละ 6 วัน) ศาลรับผัดฟ้องไว้ จากนั้นพนักงานสอบสวนนำสำนวนมอบให้พนักงานอัยการรับสำนวนไว้พิจารณาต่อไป พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาตลิ่งชัน 2 นัดสั่งคดีวันที่ 16 ก.พ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานแสดงผลการบันทึกคดีของ สน.บางยี่ขัน เลขที่ 546/2565 เลข รับแจ้ง 1/20.12.2565 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง พนักงานสอบสวน พ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ วันรับคำร้องทุกข์ 15 ธ.ค.2565 เวลา 13.30 น. วันเกิดเหตุ 1 ธ.ค.2564 เวลา 13.00 น. ถึงวันที่ 30 พ.ย.2565 เวลา 13.30 น. สถานที่เกิดเหตุห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

พฤติการณ์แห่งคดี ระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ร่วมกันหลอกลวงนาย ย.ผู้เสียหาย ว่า น.ส. ธ. ยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีสามี ทั้งที่จริงได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับ นาย ก.มาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว ทำให้นาย ย.หลงเชื่อและหลงรัก อยากให้ น.ส. ธ. มาดูแลนาย ย.ในฐานะคนรัก จึงนำเงินไปสู่ขอกับนาง ข. และนาย พ.ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาและบิดาของ น.ส. ธ. ผู้เสียหายให้เงินและทรัพย์สินต่างๆตามที่ น.ส. ธ. ร้องขอดังนี้

1.เงินสดที่นำไปให้พ่อแม่ น.ส. ธ. เพื่อสู่ขอลูกสาวมาดูแลจำนวน 1 ล้านบาท 2.แหวนเพชรจำนวน 1 วง ราคาประมาณ 500,000 บาท ให้ น.ส. ธ. ใน วันสู่ขอ 3.ทองคำที่ซื้อให้ น.ส. ธ. นาง ข.และนาย พ. จำนวน 60 บาท รวมราคาประมาณ 1,600,000 บาท 4.เงินสดให้ น.ส. ธ. ไปซื้อรถจำนวน 3 ล้านบาท 5.เงินสดที่ให้ น.ส. ธ. ไปซื้อบ้านจำนวน 3 ล้านบาท 6.เงินที่โอนเข้าบัญชี น.ส. ธ. จำนวน 319,000 บาท และ 7.เงินสดที่ให้ น.ส. ธ. เอาไป 10 ล้านบาท รวมรายการเป็นเงิน 19,419,000 บาท

ผู้ต้องหาที่ 1-4 ทราบอยู่แล้วว่า น.ส. ธ. จดทะเบียน สมรสและอยู่กินกับสามี แต่ปิดบังนาย ย.ทั้งที่สามารถแจ้งความจริงได้ตลอดเวลา และเมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้วประมาณเดือน พ.ย.2565 น.ส. ธ. ตีตัวออกห่างและเลิกกับนาย ย. ไม่ติดต่อกับนาย ย.อีกต่อไป แสดงว่าผู้ต้องหาที่ 1-4 ได้ร่วมกันหลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินไป ทำให้นาย ย.ได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565 จึงมาร้องทุกข์ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป