1 มกราคม ประเดิมศักราช เริ่มต้นวันแรกของปฏิทิน
ถือว่าเป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้นของคนไทยและทั่วโลกในการดำเนินชีวิตและกิจกรรมต่างๆนานา
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” จึงขอให้โอกาสในวันเริ่มต้นปีใหม่ 2566 มองไปข้างหน้า ประเมินแนวโน้ม หยั่งสถานการณ์การเมืองไทยที่จะเป็นไปใน 365 วันนับจากนี้
ปีที่นักษัตรไทย ตรงกับปี “เถาะ” ต้องลุ้นว่ากระต่ายจะกระโจนไปข้างหน้าหรือหมอบอยู่กับที่
ภายใต้โจทย์สถานการณ์ที่ตัวปัญหาอย่างโรคระบาด “โควิด–19” ยังคาราคาซัง ตัวเลขการระบาดยังเด้งกลับไปกลับมา ไม่ใช่แค่ประเทศไทยแต่ยังกระจายกันทั่วโลก
ทำให้การปลดล็อกกลับไปสู่ภาวะปกติ ทำไม่ได้เต็มที่
แต่ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจสำคัญกว่าวิกฤติปากท้อง ประชาชนไม่มีเวลาให้กลัวตายจากโรคระบาด หลายชาติ รวมถึงประเทศไทยจำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม
เปิดเมืองเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลัก
ต้องเสี่ยงให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไวรัสมรณะให้ได้
...
ในสภาพมหาวิกฤติโควิดฉุดเศรษฐกิจของประเทศไทยลงไปอยู่ก้นเหว ไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวในเร็ววัน แทบไม่ต้องพูดถึงความคาดหวังภายใต้การบริหารรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยทหารอาชีพอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม
จะสร้างปาฏิหาริย์ เสกให้วิกฤติปากท้องหายไปได้
นั่นจึงแปรผันตรงกับแรงกดดัน กระแสสังคมส่วนใหญ่มุ่งความหวังไปที่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงบริหาร
ประกอบกับสภาผู้แทนราษฎรก็ใกล้ครบเทอม 4 ปี ในเดือนมีนาคม 2566
รัฐบาลนับถอยหลัง เก็บฉากลาโรง
และโดยบรรยากาศโหมโรงเลือกตั้งที่เร้ากันมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กับการที่ ส.ส.จำนวนมากแห่ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎร เพื่อย้ายค่าย เปลี่ยนสังกัด
ตามที่รับ “มัดจำกล้วย” กันมาเป็นปีๆ
ก่อให้เกิดปัญหาในการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ เหตุการณ์สภาล่มซ้ำซาก จากการที่ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถกุมสภาพเสียงข้างมากไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่นับการเล่นเกม เตะตัดขากันระหว่างพรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาลเอาล่อเอาเถิดกับฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลหักเหลี่ยมกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน หวังผลไปถึงการชิงหาเสียงเลือกตั้งรอบต่อไป
ตัวเลขขาดๆเกินๆทำให้การพิจารณากฎหมายสะดุด ส.ส.ลาหยุด โดดประชุม ปักหลักลงพื้นที่หาเสียง สภาแทบไม่เหลือบรรยากาศในการประชุมแล้ว
และแนวโน้มตั้งแต่ต้นปีนี้น่าจะมี ส.ส.ทยอยลาออกกันต่อเนื่อง นับวันสภายิ่งโหรงเหรง
ตามสภาพมันก็จะกดดันไปถึงนายกรัฐมนตรี หนีไม่พ้นกระแสสังคมเร่งเร้าให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภา เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ดีกว่าทู่ซี้ลากไป
นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า ยิ่งยื้อไปในจังหวะท้าทายเสียงโห่ไล่ มันจะยิ่งทำให้คะแนนนิยมผู้นำหดหาย
เงื่อนเวลา เงื่อนไขสถานการณ์บีบ “บิ๊กตู่” กระชั้นเข้ามาทุกขณะ
การเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นอย่างช้าสุดก็เดือนเมษายน–พฤษภาคม ปี 2566
ในจังหวะผู้นำทหารเฒ่า ต้องคิดหนักกับ “เดิมพันลากอำนาจต่อ” บนเส้นทางครึ่งๆกลางๆ เหลือเวลาที่จะได้กลับมานั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้อีกแค่ 2 ปี ถึงปี 2568 หากได้เป็นนายกฯรอบสาม ไปได้ไม่สุดทาง
พิมพ์เขียวที่วางไว้ตั้งแต่ตอนร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์” เป็นอันสะดุดหมด
เกมบีบทั่นผู้นำต้องตัดสินใจเลือกเสี่ยงพวงมาลัยให้พรรคการเมือง ป้อมค่ายไหนในการหามแห่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
สถานการณ์โลกกว้างแต่ทางแคบลงทุกที
และน่าจะปิดประตูลงกลอน สำหรับเส้นทางกลับค่ายพลังประชารัฐ ตามอาการที่ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าค่าย พปชร. เล่นบทไอ้เข้ขวางคลอง
ยืนยัน “บิ๊กตู่” ไปแล้วไปเลย ไม่เคยแม้แต่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
“พี่ใหญ่” เตะสกัด ตัดหางปล่อย “น้องเล็ก” แบบไม่ไยดีและมันคงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ เมื่อเงื่อนไขสภาพการณ์บีบให้ “บิ๊กตู่” ต้องปักหมุดกับค่ายรวมไทยสร้างชาติ ต้องใช้บริการทีม “รวมไทยสร้างตู่” ในการหามแห่เบิ้ลเก้าอี้นายกฯรอบสาม
ตามที่เจ้าตัวประกาศอย่างเป็นทางการพร้อมเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
ยึดแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค รทสช.เพียงหนึ่งเดียว
ไล่หลังจากการตั้ง “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่งแท่นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สวมบท “นายกฯน้อย”
มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้มีพลังในการดูแลประสานสั่งการข้าราชการ มีอำนาจให้คุณให้โทษ
ในทางการเมืองมันคือ การเอื้อประโยชน์ให้ค่ายรวมไทยสร้างชาติอย่างชัดเจน ในการเป็นทีมที่รับอาสาแห่ พล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกตั้งรอบต่อไป
“น้องเล็ก” กับ “พี่ใหญ่” แยกทางที่เดินร่วมกันมาเกือบ 40–50 ปี
ถึงจุดที่ “บิ๊กป้อม–บิ๊กตู่” ต้องแข่งกันสร้างดาวคนละดวง
และผลจากปรากฏการณ์ทหารเฒ่า 2 ป. แตกคอ ทำให้ความชัวร์จากพิมพ์เขียวอำนาจลากยาวมีอันต้องเพี้ยนไป จากเดิมที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ “เต็งหาม” ไม่ต้องมีแตรวงนำหน้า
กลายเป็นว่า ไม่มีอะไรการันตีความแน่นอนอีกแล้ว
ถึงจุด “ปลดล็อก” อำนาจทหารเฒ่า 3 ป. ที่แผ่อิทธิพลมากว่า 8 ปี
เกม “ล็อกขั้ว” คลายตัว ใครก็มีสิทธิ์ลุ้นเก้าอี้นายก รัฐมนตรีด้วยกันทั้งนั้น
ตามแนวโน้มแบบที่โพลสารพัดสำนัก สะท้อนตัวเลข จาก พล.อ.ประยุทธ์ที่ยืนแท่นอันดับหนึ่งมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องหล่นไปอยู่อันดับ 3 อันดับ 4
คะแนนความนิยมเป็นรองเด็กรุ่นใหม่อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ “หนุ่มทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
โดนเด็กรุ่นใหม่ทิ้งห่างแบบสุดกู่
นี่แค่สถานการณ์ภายนอกที่ต้องสู้กับคู่แข่งขั้วตรงข้าม ไหนจะต้องบี้กันเองกับแนวร่วมอำนาจฝ่ายเดียวกัน ที่ต่างก็มีลุ้นขึ้นมาประชัน ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” ไปต่อได้ไม่สุดทาง ติดปมลักลั่นเดินต่อลำบาก
โดยเฉพาะการแสดงออกอย่างเด่นชัดมากของ “บิ๊กป้อม” ที่ได้ “ใจบันดาลแรง”
จากที่เดินกระย่องกระแย่งกลับมาขาแข็ง กระปรี้ กระเปร่า จากการได้สัมผัส “อำนาจเบอร์หนึ่ง” ในห้วงรักษาราชการนายกรัฐมนตรีแทน “บิ๊กตู่” ที่โดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
“พี่ใหญ่” โชว์ให้เห็นเลยว่า พร้อมเต็มที่ในการเป็นผู้นำเต็มตัว
แม้จะอยู่ในสภาวะถดถอยทั้งคู่ กระแสทหารเฒ่า 2 ป. อยู่ในห้วงขาลงแบบดิ่งเหว
พรรคพลังประชารัฐกู่ไม่กลับ ค่ายรวมไทยสร้างชาติลุ้นไม่ขึ้น
แต่ในสถานการณ์ “คั่วไพ่” หลายหน้า เทียบกับ “บิ๊กตู่” แล้ว โดยสถานะทางการเมืองก็ถือว่า “บิ๊กป้อม”
มีโอกาสลุ้นมากกว่า “น้องเล็ก” หลายช่วงตัว
ตามสภาพการณ์แบบที่ “บิ๊กบราเธอร์” ล็อกฐานพลังประชารัฐ บวกกับ “ส.ว.ลากตั้ง” ที่นับหัวแล้วแบ่งออกเป็นสายตรง “พี่ใหญ่” กว่า 150 เสียง ส่วนของ “บิ๊กตู่” มีแค่ 100 เสียง
“บิ๊กป้อม” ขี่ “น้องเล็ก” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งตัวเลข ส.ส.และ ส.ว.ลากตั้ง แถมยังกุม “แต้มต่อ” อยู่ในขุมกำลัง
ฝั่งตรงข้ามโดยเฉพาะขุมข่าย “ทักษิณ ชินวัตร”
นั่นยังไม่นับสูตรพิสดาร โอกาสตั้งรัฐบาลฮั้ว ข้ามขั้ว ดีลข้ามค่าย ระหว่างพรรค พลังประชารัฐ แท็กทีมกับพรรคเพื่อไทย โดยดัน พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ไฟต์บังคับของนายห้างดูไบ ลุ้นตีตั๋ว ต้องขอวีซ่า ผ่านด่านความมั่นคง กลับบ้านอย่างเท่ๆ
ตามหน้าไพ่ “บิ๊กบราเธอร์” ได้ลุ้นหลายออปชัน
และที่แทรกคิวปาดหน้ามาชิงธงด้วยเหมือนกัน กับรายของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว. สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย ที่ได้แรงส่งจาก “อาจารย์ใหญ่” เนวิน ชิดชอบ
กูสั่งให้มึงเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
ด้วยแรงดึงดูดสูง “พลังไดโว่ผีโม่แป้ง” ยี่ห้อเซราะกราวปฏิบัติการกวาดต้อนงูเห่า ดึงอดีต ส.ส.จากพรรค การเมืองอื่นเข้ามาอยู่ในสังกัดเกือบครึ่งร้อย
เบ่งกล้าม พองลม ถีบตัวเองขึ้นมาเป็นค่ายอันดับหนึ่งแทนพลังประชารัฐ
อัดกล้วยเป็นโกดัง แข่งประมูลอำนาจ ปาดหน้าทหารเฒ่า 2 ป.
2 น.ปล่อยพลัง หมดเวลาเกรงใจ พร้อมหักหลังหักเหลี่ยม เพื่อการใหญ่ของตัวเอง
“บิ๊กป้อม–เสี่ยหนู” คือคนในขุมข่ายขั้วเดียวกันที่ตีคู่ขึ้นมาหายใจรดต้นคอ “บิ๊กตู่”
และมันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือผิดกติกาแต่อย่างใด ถ้าจะเกิดการพลิกขั้วอำนาจ โอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย แล้วไปแตะมือกับพรรคก้าวไกลที่แรงไม่แพ้กัน ดันแต้ม ส.ส.เกิน 375 เสียง แหกด่าน 250 ส.ว.ลากตั้ง
ด้วยพลังเสียงของคนส่วนใหญ่ต้องการล้างอำนาจขุมข่ายทหารเฒ่า 3 ป.
ถ้าเป็นห้วง 2–3 ปีก่อนหน้านี้ “สูตรอันตราย” อาจเจอทางตัน แต่ ณ ปัจจุบัน วันที่ทหารเฒ่า 2 ป. แตกคอ พิมพ์เขียวอำนาจที่ “ซ่อนกล” กันไว้สั่นคลอน
เกมอำนาจการเมืองไทย เดินมาถึงจังหวะที่ “บิ๊กตู่” ไม่มีตัวช่วยการันตีเส้นทางไปต่อ
ปี 2566 คือ ปีแห่งการปลดล็อกขั้วอำนาจ 3 ป. โดยแท้จริง.
“ทีมการเมือง”