“พล.อ.ประยุทธ์” เสนอ 2 หลักการในวงประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ที่เบลเยียม ชี้ ไทยยึดถือมาโดยตลอด ชี้ ช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ต้องอาศัยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งโลก

วันที่ 15 ธ.ค. 2565 เวลา 08.21 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเคลื่อนไหวผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก ระหว่างการเดินทางไปปฏิบัติราชการต่างประเทศ ว่า เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค. 2565) เป็นวันที่ 2 ในภารกิจต่างประเทศ ซึ่งเป็นไฮไลต์ของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม โดยมีประเด็นสำคัญที่หารือกัน ได้แก่

1. ร่วมกันหาแนวทางสร้างความเข้มแข็งในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป
2. แลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นความท้าทายของโลก เกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุต่อไปว่า การประชุมนี้มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าลำดับที่ 3 ของอาเซียน (สถิติปี 2564) รองจากจีนและสหรัฐฯ มูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 215.9 พันล้านยูโร คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของปริมาณการค้าทั้งหมดของอาเซียน และสหภาพยุโรปเป็นผู้ลงทุน Foreign Direct Investment (FDI) ลำดับที่ 1 ของอาเซียน โดยมีมูลค่า 144 พันล้านยูโร ในฐานะที่เป็นผู้แทนชาวไทยทั้งประเทศ ได้นำเสนอการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ ด้วยแนวคิดที่ว่า อาเซียน-อียู : ร่วมกันสร้างสรรค์ บันดาลก้าวหน้า นำพายั่งยืน โดยมี 2 หลักการสำคัญ คือ

...

1. หลักการด้านความมั่นคง โดยความท้าทายของโลกในปัจจุบัน คือ ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน โดยได้นำเสนอว่า

  • การสร้างบรรยากาศการอยู่ร่วมกัน การปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ และการลดความเสี่ยง ลดการเผชิญหน้า จะเป็นแนวทางสู่สันติภาพที่เป็นทางออก และคำตอบสุดท้ายของการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
  • เราต้องแยกพื้นที่ความขัดแย้ง ออกจากความร่วมมือ คือ สงวนพื้นที่สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและด้านเศรษฐกิจให้กับผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย


2. หลักการด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-โลกร้อน-การเปลี่ยนแปลงสีเขียว ซึ่งเป็นทั้งความรับผิดชอบและรับผลกระทบร่วมกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ผมจึงได้นำเสนอแนวทาง 4 ข้อ ดังนี้

  • สมควรสร้างกลไกการทำงาน และเวทีประสานงาน สำหรับการทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ ใกล้ชิดกัน เพื่อสร้างโลกที่เข้มแข็ง และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ให้มวลมนุษยชาติ
  • ไทยยินดีเป็นกำลังสำคัญ สนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ ว่าด้วยความมั่นคงและความยั่งยืนทางอาหารโลก ในปีหน้า และขอเชิญทุกผู้แทนประเทศเข้าร่วม
  • ควรตั้งเป้าหมายร่วมกันในเรื่องสิ่งแวดล้อม และการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยขอให้สหภาพยุโรปได้สนับสนุนขีดความสามารถของอาเซียน ทั้งด้านเทคนิคและเงินทุน ในเรื่องเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนไม่นำมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มาเป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนความพยายามของอาเซียนในเรื่องนี้
  • ควรแสวงหาแนวทางการส่งเสริมให้ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรการราคาคาร์บอน รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวปฏิบัติที่ดีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดคาร์บอน


ทั้ง 2 หลักการนี้ ประเทศไทยยึดถือเป็นหลักพื้นฐานมาโดยตลอด และนำไปสู่การปฏิบัติแล้วจนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี อาทิ การผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในทุกภาคส่วนของประเทศ และในเวทีการประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ, การขับเคลื่อนนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ ครบวงจร ทั้งมาตรการทางภาษี มาตรการส่งเสริมการลงทุน ไม่ใช่เพียงตัวรถ แต่ครอบคลุมเรื่องชิ้นส่วน-อะไหล่ แบตเตอรี่ไฟฟ้า สถานีชาร์จ มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสนับสนุนภาคเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เป็นต้น ซึ่งกำลังพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิต EV ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก รวมไปถึง การปรับโครงสร้างพลังงาน โดยลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน-พลังงานสะอาด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050)

“ผมเชื่อว่าพลังแห่งความร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างคุณประโยชน์ให้กับประชาชนของอาเซียน สหภาพยุโรป และชาวโลกในภาพรวม โดยในระยะเปลี่ยนผ่าน จำเป็นต้องอาศัยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งโลก ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ต่อทั้งชนรุ่นเรา และรุ่นลูกหลานในวันข้างหน้า ซึ่งเราต้องเริ่มต้นทันทีตั้งแต่วันนี้นะครับ”