"ไทยสร้างไทย" วางเป้าหมายอาหารไทย ปี 2023 สู่อาหารแห่งอนาคต ย้ำ รัฐต้องสนับสนุนคนตัวเล็กเพื่อเข้าสู่ตลาดโลก ช่วงชิงโอกาสความมั่นคงทางอาหารและ Functional Food
วันที่ 13 ธ.ค. พรรคไทยสร้างไทย จัดงานเสวนาปลดล็อกเศรษฐกิจ Thailand’s Future Food Trends 2023 ทิศทางอุตสาหกรรมอาหารโลกและโอกาสในปี 2023 ที่ Victor Clubs อาคาร FYI Center ถนนพระราม 4 เกี่ยวกับอนาคตและทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารและเทรนด์ด้านอาหารของโลกในอนาคต
โดยมีนาย รณกาจ ชินสำราญ ผู้ร่วมก่อตั้งร้านอาหารญี่ปุ่น Maguro และคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย ดำเนินรายการ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทยและประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร นางอนงค์ ไพจิตรประภากรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร และนายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้งร้าน Penguin Eat Shabu ร่วมเสวนา
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา อธิบายว่า อุตสาหกรรมอาหารในไทย เป็นอุตสาหกรรมที่กระทบน้อยมากจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมีรายได้กว่า 1 ล้านล้านบาท ต่อปีจากการส่งออกในประเทศ และกว่า 4 แสนล้านบาทจากอุตสาหกรรมในด้านอาหารและมูลค่าการบริโภคในประเทศกว่า 2 ล้านล้านบาท ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ช่วงโควิด-19 ต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก แต่ผู้ผลิตต้องยอมขาดทุนมากกว่าหยุดการผลิตเพราะจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากกว่า ตอนนี้ธุรกิจเริ่มกลับมาเดินได้เพราะมีการคลายล็อก และในปีนี้ ตัวเลขการส่งออกในอุตสาหกรรมอาหารเติบโตเพิ่มอย่างก้าวกระโดดกว่า 20 % คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้าน
...
สินค้าที่ทำรายได้เพิ่มขึ้น 5 อันดับแรกคือ น้ำตาล โดยมีรายได้เพิ่มกว่า 139% ต่อมาคือไขมัน- น้ำมันทั้งจากพืชและสัตว์ เพิ่มขึ้น 62% เนื่องจากสถานการณ์ตลาดน้ำมันปาล์มโลก ที่น่าสนใจ คือ อาหารทะเลกระป๋อง เติบโตสูงขึ้นมากโดยเฉพาะตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา ต่อมาคือไก่สดและแช่แข็ง เติบโต 42% และมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีก แต่ติดปัญหาในการส่งออกไปยังตะวันออกกลางที่ยังติดปัญหาเรื่องฮาลาลและข้าวเติบโตเพิ่มขึ้น 32% เพราะแหล่งข้าวสาลีโลก อยู่ที่ รัสเซียและยูเครน ทำให้โลกต้องหาแหล่งคาร์โบไฮเดรตทดแทน
ปัญหาของอุตสาหกรรมการส่งออกอาหารตอนนี้คือเรื่องมาตรฐานการส่งออก มาตรฐานการวางขาย เช่น GHP HACCP ที่แต่ละพื้นที่ที่จะส่งออกไปมีมาตรฐานที่ต่างกัน รวมถึงอาหารออร์แกนิก ที่น่าจะชูได้แต่ก็มีมาตรฐานที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการเกิดความลำบากในการเข้าใจความแตกต่างของมาตรฐานแต่ละที่
นางอนงค์ นำเสนอว่าในอนาคตเทรนด์กำลังก้าวไปสู่ Future Food โดยคำนิยามปัจจุบันมีอยู่ 4 อย่าง คือ อาหารฟังก์ชัน, อาหารทางการแพทย์, อาหารออร์แกนิก และอาหารใหม่ หรืออาหารที่ยังต้องการผลวิจัยมารองรับอยู่
ในสี่ด้านนี้ หลายอย่างง่ายกับเรา เช่น อาหารฟังก์ชัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสมุนไพรเยอะ สามารถทานเข้าไปแล้วทำให้แก้ร้อน หรือ สร้างความอบอุ่นได้ สิ่งที่สำคัญคือต้องมีองค์กรที่มาดูแลเรื่อง Functional Ingedient Claim แทน อย. เพราะจะทำให้ทุกอย่างไปคอขวดอยู่ที่องค์กรเดียว ต้องกระจายออกไป อาหารทางการแพทย์ เราก็สามารถทำได้และสามารถพัฒนาเพิ่มได้อีกมาก อาหารออร์แกนิก ยังติดปัญหาด้านข้อกำหนดต่างๆ อยู่เยอะและอาหารใหม่ที่ยังรอการวิจัยและพัฒนา โดยอนงค์เห็นว่า งบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาด้านอาหารควรจะต้องเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารสร้าง GDP ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล แต่ทำไมงบประมาณที่มาช่วยเหลืออุตสาหกรรมอาหารยังน้อยอยู่
นายธนพงศ์ กล่าวว่าต้ังแต่สถานการณ์โควิดเป็นต้นมาทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น เนื้อสัตว์ อาหารปรุงสุกต่างๆ ราคาสูงขึ้น แต่ความโชคดีของไทยคือ เรามีวัตถุดิบอยู่เองในประเทศ อย่างแพลนท์เบส เราจึงมีต้นทุนแพลนท์เบสที่ค่อนข้างถูกกว่าที่อื่นในโลก ตอนนี้ราคาอาหารโดยปรกติ ราคาเริ่มถีบตัวมาเท่าแพลนท์เบสแล้วแต่การบริโภคยังต่ำอยู่ เพราะปัจจุบันเรารู้ว่าแพลนท์เบสทัดเทียมเนื้อสัตว์จริงๆ ทั้งสารอาหาร และราคา แต่ที่ติดอยู่คือ ด้านความรู้สึก คนจำนวนมากยังคิดว่าทำไมเราต้องกินเนื้อเทียม ทำไมเราต้องกินหมูเทียมไก่เทียม ถ้าเราสร้างความตระหนักรู้เรื่องคุณค่าอื่นๆ ให้แก่ผู้บริโภค เช่น การลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ หรือสวัสดิการสัตว์ อาจทำให้คนหันมาบริโภคอาหารแพลนท์เบสมากขึ้น
ปัญหาตอนนี้คือ ผู้ผลิตรายย่อยกำลังจะตาย ในอดีตผู้ผลิตรายเล็ก เป็นผู้ริเริ่มไอเดียด้านธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ ตลาดยังค่อนข้างแคบ แต่ปัจจุบันผู้เล่นใหญ่เริ่มเข้ามามากขึ้นแม้จะมีข้อดีคือตลาดขยายตัวขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ SMEs ไม่สามารถแข่งขันได้ ตรงนี้ต้องเริ่มมีความคิดเรื่องเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน ตัวใหญ่ต้องรู้จักแบ่งปันให้รายย่อย และรัฐต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้มากขึ้นด้วย
นายสุพันธุ์ เสนอว่าในสามปีที่ผ่านมาประเทศไทยเจอสถานการณ์โควิด แต่อาหารเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ยังคงไปได้อยู่ ซึ่งตรงกับความคิดว่าต้องกลับมามองว่า คนไทยมีความชำนาญอะไร อุตสาหกรรมที่เราเก่งคืออุตสาหกรรมอาหารและเกษตร พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจำเป็น เราจึงต้องแก้ปัญหาทั้งระบบโดยอันดับแรก ต้องแก้ปัญหา ชลประทานทั้งระบบ เพื่อช่วยเหลือด้านการเกษตรก่อน และต้องมีการจัดโซนนิ่ง ต้องมีการพัฒนาพืชพันธุ์ โดยเฉพาะข้าวที่วันนี้เราหยุดพัฒนาพันธุ์ข้าวไปหลายปี จนถูกต่างชาติแซงไปหมด ดังนั้นการวิจัยและพัฒนาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
เรื่องที่น่าแปลกใจอีกเรื่องหนึ่งคือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ถนัดเรื่องอาหาร แต่ไม่มีนิคมอุตสาหกรรมด้านอาหารโดยเฉพาะ พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่าจะต้องมี Cluster อุตสาหกรรมด้านอาหาร โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาตั้งอยู่ในนั้น เพื่อให้ SMEs ได้ใช้ ต้องมีศูนย์บริการในการขอใบอนุญาตต่างๆ ทั้งใบอนุญาตที่ต้องใช้ในประเทศ และการขอใบอนุญาตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ทั้ง GHP GMP และ HACPP ต้องทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยรัฐต้องเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ให้
สุดท้ายคือ กฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหากินของประเทศต้องถูกแขวน โดยพรรคไทยสร้างไทย จะออกพ.ร.ก.หนึ่งฉบับ เพื่อแขวนกฎหมายกว่า 1,300 ฉบับ ที่ป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และเพื่อให้เราก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมอาหารโลกให้เร็วที่สุด