ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ประทับรับฟ้อง คดี "สิระ" ฟ้องหมิ่นประมาท "เสรีพิศุทธ์" ปม กล่าวหาขาดความรู้ความสามารถ เข้าประชุมกมธ.ครั้งละไม่เกินครึ่งชั่วโมง นัดสืบพยาน 20 มี.ค. 66 

ที่ศาลอาญา วันที่ 1 ธ.ค. 65 ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.2867/2563 ที่นายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผบ.ตร.และประธานกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา

กรณีสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2563 นายสิระ โจทก์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำเลยจึงทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 10 กันยายน 2563 และยื่นหนังสือดังกล่าว ผ่านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า โจทก์มีหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำเลยในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตั้งกรรมาธิการแทนที่ว่างและมีข้อความในย่อหน้าสุดท้ายว่า เนื่องจากนายสิระ เจนจาคะ เป็นกรรมาธิการที่ไม่มีความรู้และไม่สนใจปฏิบัติหน้าที่ขาดการประชุมบ่อยครั้ง เข้าประชุมแต่ละครั้งเพียง 1 นาที หรือไม่เกินครึ่งชั่วโมง เพียงหวังรับเบี้ยประชุมเท่านั้น จึงขอให้แจ้งทางพรรคได้พิจารณาบุคคลที่มีความรู้ความเหมาะสมกับตำแหน่งมาปฏิบัติหน้าที่ ต่อมา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่หนังสือดังกล่าวในเว็บไซต์ของสภาผู้แทนราษฎร

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งยกฟ้อง

...

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้นายสิระ มาศาล ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ใจความว่า โจทก์ (ขณะฟ้อง) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ และเป็นประธานคณะกรรมการที่การกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน จำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย และเป็นประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่ เห็นว่า การหมิ่นประมาทนั้นเป็นการกระทำโดยใส่ความ คือ บอกกล่าวข้อความอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นอยู่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง เป็นการกล่าวหาผู้อื่นต่อบุคคลที่สามให้ได้รับความเสียหายและข้อความดังกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่

จากถ้อยคำที่จำเลยกล่าวในหนังสือประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ว่า โจทก์เป็นกรรมาธิการไม่มีความรู้ และไม่สนใจ ปฏิบัติหน้าที่ขาดการประชุมอยู่บ่อยครั้ง เข้าประชุมแต่ละครั้งไม่เกินครึ่งชั่วโมง เพื่อหวังเบี้ยประชุมเท่านั้น มีลักษณะเป็นการยืนยันว่า โจทก์ขาดคุณสมบัติในการทำหน้าที่กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร

ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนทั่วไปถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่า โจทก์ไม่มีความรู้ ความสามารถ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อตรงหรือทุจริตประพฤติมิชอบเสียเอง ถ้อยคำดังกล่าวจึงอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้

คดีโจทก์จึงมีมูล ให้ประทับรับฟ้องและพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ประทับรับฟ้อง และนัดจำเลยมาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 20 มีนาคม 2566 เวลา 13.30 น.