กมธ.ดีอีเอส เผยตัวเลขธุรกิจ "การรักษาผ่านระบบทางไกล" ตลาดโลกปี 2567 สูงกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแพทย์-ลดความเหลื่อมล้ำ-คนล้น รพ. "เศรษฐพงค์" แนะรัฐเร่งปลดล็อกกฎหมายให้อำนาจหน่วยงานจัดเก็บข้อมูลกลางด้านสุขภาพของไทย ภายใน 3 ปี หวังพัฒนาระบบการแพทย์ไทยให้ทันโลก
เมื่อวันที่ 30 พ.ย.65 น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการฯได้รายงานผลการศึกษาเรื่องการรักษาผ่านระบบทางไกล (Telemedicine) ในประเทศไทยต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว สาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาพบว่า การรักษาผ่านระบบทางไกลที่ใช้ข้อมูลทางการแพทย์ ผ่านการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย โดยใช้วิดีโอ สมาร์ทโฟนท์ (Smart Phone) เครื่องมือไร้สายและรูปแบบอื่นๆของเทคโนโลยี มีมูลค่าตลาดโลกประมาณ 21,446.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าสูงถึง 60,448.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 18.50 ต่อปี ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดเติบโต คือ ค่าใช้จ่ายการรักษาที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น ความก้าวหน้าของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงทำให้การใช้ Telemedicine ทำได้ง่ายขึ้นมีต้นทุนการใช้งานลดลง และจำนวนผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคที่จำเป็นต้องติดตามอาการเป็นระยะมีมากขึ้น ทั้งนี้พบว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการใช้บริการ Telemedicine เพราะวิกฤติครั้งนี้บังคับให้ต้องหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งจะแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชนบทห่างไกล ที่ประชาชนส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล โดย Telemedicine เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ และจะยังคงเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง
...
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะรองประธาน กมธ.ฯ กล่าวว่า ไทยจะก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาระบบ Telemedicine ให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพเฉกเช่นอารยประเทศนั้น สิ่งสำคัญที่จำเป็น คือ การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ เพราะแม้ว่าประเทศไทยจะมีข้อมูลที่เป็น Big data ด้านสุขภาพอยู่แล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายใดที่ให้อำนาจหน่วยงานเข้ามาจัดการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ให้เป็นฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพของประเทศ ซึ่งจะง่ายต่อการบริหารจัดการและการนำมาใช้ประโยชน์
"สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการเร่งด่วนในระยะสั้น 3 ปี ระหว่างปี 2566-2568 คือ การมีกฎหมายให้อำนาจในการจัดการ Healthcare Data แห่งเดียวของประเทศ การจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือให้อำนาจหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารจัดการและจัดทำข้อมูลด้านสุขภาพของประชาชน ที่มีอยู่ในทุกภาคส่วนของประเทศให้มาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน และให้อำนาจในการปรับระบบบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำการรักษา ให้อยู่ในฐานะความเป็นมืออาชีพส่วนบุคคลได้ ตามมาตรฐานการรักษาระดับสากล และพัฒนาระบบการสร้างความน่าเชื่อถือของผู้ป่วย ผู้ใช้บริการสาธารณสุข โดยผู้ทำการรักษาสามารถยืนยันตัวตนได้ทั้งสองด้าน ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการนำส่งข้อมูลความละเอียดสูง ทั้งภาพ เสียง และสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงความปลอดภัยในข้อมูลสุขภาพของประชาชน ที่จะต้องไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหล การถูกจารกรรมหรือละเมิด" พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว