“จุรินทร์” ของขึ้นบ่นดังๆอึดอัดโผปรับ ครม.พรรค ปชป.ถูกดองเค็ม 7 สัปดาห์ไม่คืบ โวยไม่เคยเจอยืดเยื้อขนาดนี้ ฟาดยับ รัฐบาลผสมต้องเห็นหัวพรรคร่วมฯ “พีระพันธุ์” ลุยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร ยก “บิ๊กตู่” ผู้บังคับบัญชา ให้ฟังจากปากนายกฯร่วมงาน รทสช. “สัณหพจน์” หยันแค่ศาลพระภูมิอดีตคน ปชป.ปักหลัก พปชร.ไม่ตื่นเต้นย้ายตาม “อนุสรณ์” ยุส่งเลิกลับลวงพรางรีบๆประกาศชู “ลุงตู่” “พิธา-ธนาธร” เปิดนโยบาย “ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า” ปลุกเลือกตั้งนายกจังหวัด-นายกเขตใน กทม. ริบดาบพ่อเมืองแต่งตั้ง ลั่นได้เป็นรัฐบาล 100 วันแรกโละทิ้งระเบียบ-คำสั่ง คสช. ภายใน 4 ปีแจกงบฯลงท้องถิ่นเพิ่มปีละ 2 แสนล้านบาท เล่นของร้อนยกแก้ ม.112 ลุยหาเสียง “ชลน่าน” ดักคอสูตรเลือกตั้งไม่มีทางกลับไปหาร 500 “ระวี” ขู่ยื้อแก้ไข ก.ม.เลือกตั้ง ส.ส. เจอ พ.ร.ก.คลอดกติกาเลือกตั้งแน่
สัมพันธภาพพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เริ่มสั่นคลอนมากยิ่งขึ้นในช่วงท้ายก่อนครบวาระ 4 ปี ล่าสุดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แสดงความอึดอัดใจ กรณีพรรค ปชป.ได้เสนอชื่อนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ไปเป็น รมช.มหาดไทยเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 แล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า
“อู๊ดด้า” อึดอัดดองเค็มไม่ปรับ ครม.
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 พ.ย.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายก รัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังพรรคได้เสนอชื่อนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง เป็นผู้เหมาะสมกับตำแหน่ง รมช.มท. แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกว่า ต้องยอมรับว่าสมาชิก ปชป. หลายคนเริ่มอึดอัดกับการที่พรรคได้นำชื่อนายนริศ กราบเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไปแล้ว แต่การดำเนินการยังไม่เกิดขึ้นเกือบจะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว เดิมไม่คาดคิดว่าจะยืดเยื้อขนาดนี้ เพราะเราเคยอยู่ในรัฐบาลผสมมาหลายยุค ทั้งเป็นแกนนำเองและเป็นพรรคร่วมรัฐบาล การปรับ ครม.ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นรัฐบาลผสมต้องให้ความสำคัญกับทุกพรรคที่มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล คิดว่านายกฯ รับทราบแล้ว
...
ฉะ รบ.ผสมต้องเห็นหัวพรรคร่วมฯ
“สื่อมวลชนถามหลายครั้ง ผมบอกว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องดำเนินการ พรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อท่านนริศไปเที่ยวนี้เพื่อแทนท่านนิพนธ์ที่ลาออกไปและกราบเรียนนายกฯชัดเจนแล้วว่าไม่ประสงค์ให้กระทบพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลว่าต้องปรับด้วย แต่ประชาธิปัตย์มีความจำเป็นและเป็นมติพรรคไปแล้ว และไม่กระทบพรรคร่วมพรรคอื่นหรือพรรคแกนนำ เพราะอยู่ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์” นายจุรินทร์กล่าว
ยืดเยื้อ 7 สัปดาห์ไม่เคยเจอขนาดนี้
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่านายกฯจะไม่นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ นายจุรินทร์กล่าวว่า ไม่ขอไปไกลขนาดนั้น แต่ปกติไม่เคยเจอความยืดเยื้อขนาดนี้ เพราะเข้าสัปดาห์ที่ 7 แล้ว แต่คงไม่ถามย้ำแล้วเพราะนายกฯทราบอยู่แล้วและเคยย้ำไปว่าไม่ประสงค์ให้กระทบพรรคอื่น เป็นแค่เฉพาะในส่วนของประชาธิปัตย์ เป็นภาระที่ต้องเสนอคนไปแทน ไม่เช่นนั้นตำแหน่งรัฐมนตรีจะแหว่งไปหนึ่งที่และเข้าไปช่วยงานได้เยอะในฐานะ รมช.มหาดไทย
โวชู ปชต.ท้องอิ่มรวมพลังคนทุกรุ่น
นายจุรินทร์กล่าวถึงการเตรียมแผนเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ว่า ถึงเวลาจะทยอยเปิดตัวผู้สมัคร จากนี้ไปจะให้ทีมกรุงเทพฯ พิจารณา ภาคอื่นทยอยเปิดตัวมาเป็นลำดับแล้ว นโยบายที่จะใช้รณรงค์หาเสียงทำเสร็จแล้ว ไปรับฟังความเห็นเพิ่มเติมจากกลุ่มต่างๆทั่วประเทศ ถึงเวลาเหมาะสมจะเปิดเผยแน่นอนว่านโยบายที่ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น แต่คงไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเดิมๆ ต้องเป็นประชาธิปไตยที่เดินหน้าและท้องอิ่ม เป็นหัวใจสำคัญ
จากนั้นนายจุรินทร์เป็นประธานกล่าวเปิดกิจกรรม “ฟัง คิด ทำ” ให้กับเยาวชน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ กทม. ตอนหนึ่งว่า อุดมการณ์หลักของพรรคมี 3 ข้อคือ 1.ทำงานภายใต้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.เราจะทำเพื่อคนทั้งประเทศประชาชนเกิดส่วนกลาง 3.ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยุคนี้คือยุคใหม่ อุดมการณ์ใหม่ ทำใหม่ คิดใหม่ เพื่อเดินหน้าพรรคไปสู่ความทันสมัย ในอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนเป็นรากแก้วของพรรค จากนี้จะเดินหน้ารับฟังเสียงประชาชนแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ
“เสี่ยตุ๋ย” ไปชุมพรเปิดตัวทีม “ลูกหมี”
ที่หอประชุมโรงเรียนครนพิทยาคม ตำบลครน อ.สวี จ.ชุมพร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร รองหัวหน้าพรรค นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค พร้อมผู้บริหารพรรค ร่วมเปิดสาขาพรรคและประชุมแต่งตั้งตัวแทนพรรค ประจำ จ.ชุมพร มี นายสุพล จุลใส หรือลูกช้าง ส.ส.ชุมพร เขต 3 พรรครวมพลังประชาชาติไทย นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.เขต 7 นครศรีธรรมราช พรรค พปชร. และนายชุมพล จุลใส หรือลูกหมี อดีต ส.ส.ชุมพรและแกนนำ กปปส. นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร พี่เขย ของอดีต ส.ส.ลูกหมี นำสมาชิกสภา อบจ.ชุมพร ในนามทีมพลังชุมพรกว่า 20 คน จาก 8 อำเภอ มาร่วมแสดงความยินดีและต้อนรับอย่างคึกคัก จากนั้นนายพีระพันธุ์ ขึ้นเวทีเปิดตัวนายวิชัย สุดสวาสดิ์ หรือ ส.จ.ชัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 1 และนายสันต์ แซ่ตั้ง อดีตรองนายก อบจ.ชุมพร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 2
ให้รอฟังคำตอบจากปากนายกฯ
จากนั้นนายพีระพันธุ์ให้สัมภาษณ์ว่า จ.ชุมพรเป็นจังหวัดของนักสู้ ที่ผ่านมาชาวชุมพร ได้ร่วมกับส.ส.ลูกหมีต่อสู้กันในการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแนวทางอุดมการณ์ของพรรค มั่นใจจะชนะการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้าแน่นอน เมื่อถามว่านายกฯจะมาอยู่พรรค รทสช.แล้วหรือยัง นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ยังไม่ได้เจอไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ไม่กล้าถามเพราะว่านายกฯเหมือนผู้บังคับบัญชา ท่านจะมาหรือไม่คงต้องไปถามท่านเอง ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงแค่ข่าว
“พงศ์สินธุ์” ยก ปชช.สั่งซบ รทสช.
เมื่อเวลา 13.00 น. นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชา ธิปัตย์ หลังจากผู้บริหารพรรคไม่ประกาศชื่อให้เป็น ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราชในนามพรรค โดยระบุเหตุผลว่าสำรวจคะแนนนิยม (โพลพรรค) แพ้คู่แข่งขัน โพสต์เฟซบุ๊กหัวเรื่อง “ตัดสินใจแล้วอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ” ใจความว่า ได้ลงพื้นที่ต่อเนื่อง หลังจากที่ได้แสดงท่าทีชัดเจน ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เพื่อต้องการซาวด์เสียงและฟังเสียงจากประชาชนว่าจะให้ลงสมัครรับเลือกตั้งสังกัดพรรคใด จากการรวบรวมข้อมูลพูดคุยกับพี่น้องประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นใจวิถีชีวิตทางการเมือง ที่จำเป็นต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ยังให้กำลังใจ ต้องการให้ต่อสู้ในสนามเลือกตั้งต่อไป เสียงส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยจะให้เปลี่ยนพรรคจากพรรคเดิมมาเป็นพรรคอื่น มีประชาชนมากถึง 90% สนับสนุนให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ
อ้างผู้สูงอายุ–คนจนหนุน “ลุงตู่”
หลังมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้าร่วมงานการเมืองยื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชื่นชอบและยังคงสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ไม่เปลี่ยนแปลง กำชับว่า “ให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคลุงตู่เท่านั้น ได้รวบรวมข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในหมู่ญาติมิตรเพื่อนฝูงและทีมงาน ตกผลึกแล้วว่าต้องการให้สมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. พร้อมจะไปยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ที่ทำการพรรค วันจันทร์ที่ 28 พ.ย.65 ขออนุญาตแจ้งความคืบหน้าทางการเมืองมาให้ทุกท่านได้รับทราบ ต่อมาเวลา 15.10 น. นายพงศ์สินธุ์โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้งว่า “ผมและสมาชิกครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. 28 พ.ย.นี้”
“แรมโบ้” นำทัพ “เทิดไท” ชู “บิ๊กตู่”
ที่โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัสแวนด้า พรรคไทยรักชาติ จัดประชุมใหญ่วิสามัญพรรค โดยมีมติ เปลี่ยนชื่อพรรคจากไทยรักชาติเป็นพรรคเทิดไท และมีมติเลือกนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ เป็นหัวหน้า แทนนายสุชาติ บรรดาศักดิ์ ที่ลาออกและได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรค นายเสกสกลกล่าวว่า เปลี่ยนชื่อพรรคเพราะมีจุดยืนปกป้องสถาบันไม่เอาคนล้มล้างสถาบัน และสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นนายกฯต่อในเวลาที่เหลือ ที่ผ่านมาเคยมีส่วนร่วมก่อตั้งพรรค รทสช.เพราะมองว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจถูกกดดันจนไม่มีพรรครองรับ แต่ตนไม่เหมาะกับพรรค รทสช.จึงหาคนประวัติดีอย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มาเป็นหัวหน้าพรรค ยังเชื่อมั่นว่า 3 ป.ไม่มีทางแยกกันแน่นอน แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะย้ายไปอยู่กับพรรค รทสช. เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะทำงานทางการเมืองคู่ขนานกันได้ไม่มีปัญหา เพราะความเป็นพี่เป็นน้อง 50 ปี ตัดกันไม่ขาด
“ลุงป้อม” โผล่จออ้อนคนสารคาม
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สวนสาธารณะเกาะแก้วหนองบัว หน้าที่ว่าการ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ชาวมหาสารคามรวมตัวกันจัดงาน “มรดกภูมิปัญญา พัฒนาสู่ความยั่งยืน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ภายในงานจัดแสดงผ้าไหม แฟชั่นโชว์ชุดผ้าไหม เปิดร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอทอป สินค้าการเกษตรจาก 13 อำเภอ จ.มหาสารคาม และจังหวัดใกล้เคียง เช่น กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มีนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผวจ.มหาสารคาม เป็นประธาน จากเดิมที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน แต่ติดภารกิจด่วน แต่ พล.อ.ประวิตรทำเซอร์ไพรส์ วิดีโอคอลเข้ามาผ่านทีมงาน นำขึ้นจอแอลอีดีหน้าเวที โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวทักทายประชาชนที่มาร่วมงาน ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันจัดงานอย่างเข็มแข็งเป็นพลังให้ชุมชน ไม่ย่อท้อ แม้จะรู้ว่าตนไม่ได้มาแต่จะหาเวลาว่างไปเร็วๆนี้แน่นอน ขอเป็นกำลังใจ ขอให้อยู่ดี กินดี รัฐบาลพร้อมสนับสนุนชาวมหาสารคาม จะยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป ทันทีที่พูดจบชาวบ้านพากันปรบมือ
“สัณหพจน์” เย้ย รทสช.สุสาน ปชป.
นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค พปชร.ให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตทางการเมืองว่า ยังอยู่กับ พปชร. ไม่เป็นห่วงการเตรียมตัวเลือกตั้ง ในพื้นที่แน่นอยู่แล้วลงพื้นที่ตลอด 3 ปีกว่า ชาวบ้านเห็นผลงานไม่ว่าจะอยู่พรรคไหนเชื่อว่าจะได้กลับมาเป็นผู้แทนฯ เมื่อถามว่าหากจะย้ายพรรคจะไปอยู่พรรค รทสช.หรือไม่ นายสัณหพจน์กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดยังไม่รู้ว่านายกฯจะไปหรือไม่ จริงๆพรรครทสช.คือพรรค ปชป.เก่าที่ไม่ได้ทำงานให้พื้นที่ แค่ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ไปเลยไปสร้างศาลพระภูมิใหม่ ไปเชิญเจ้าที่ใหม่ สงสารเจ้าที่ด้วยซ้ำ เหมือนเป็นผีย้ายหลุม ตนไม่ได้เป็นผี เมื่อถามย้ำว่ายังคงยืนยันว่าจะอยู่กับพรรค พปชร.ต่อใช่หรือไม่ นายสัณหพจน์ตอบรับ “ครับ พรรคไม่ได้ทำอะไรเสียหายให้ประชาชน สร้างผลงานไว้มากมาย แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด เรารู้อย่างเดียวว่าเราทำอะไรให้ชาวบ้าน ถ้าเรามั่นใจว่า 3 ปีกว่าเราทำอะไรให้ชาวบ้าน เราจะได้กลับมา”
ยันอยู่ พปชร.ไม่เต้นย้ายค่าย
เมื่อถามว่า หากอนาคต พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. แยกทางเดินกันจริงจะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ นายสัณหพจน์กล่าวว่า หากมองแบบเผินๆ เหมือนจะมีผลกระทบหาก 2 ป.แยกทางเดินกันจริง เพราะความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพื้นที่ภาคใต้ประชาชนยังพึงพอใจอยู่ แต่หากตัวผู้แทนฯทำงานไม่ดี ถึงไปอยู่ตรงนั้นชาวบ้านก็ไม่เลือก ขึ้นอยู่กับเราจะทำอะไรให้ชาวบ้านบ้าง จะไปอยู่ตรงไหน ไม่มีปัญหา เมื่อถามย้ำว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่กับพรรค รทสช.จะไปด้วยหรือไม่ นายสัณหพจน์กล่าวว่า อย่างที่เคยบอกว่า รทสช.เป็นกลุ่ม ปชป.เก่า แล้วเขาไม่ทำงานให้พื้นที่ หากไปอยู่ตรงนั้นชาวบ้านจะได้อะไร ไม่มีประโยชน์กับชาวบ้าน ถ้าไม่มีประโยชน์กับชาวบ้านไม่สมควรจะทำยังยืนยันว่าจะยังอยู่กับ พปชร.
“อนุสรณ์”ยุรีบประกาศหนุน“บิ๊กตู่”
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดี พล.อ.ประยุทธ์หาพรรคสนับสนุนเป็นแคนดิเดตนายกฯได้แล้ว ขืนทู่ซี้อยู่พรรค พปชร.ต่อไป คงต้องลดชั้นลงมารับตำแหน่งรองนายกฯ แต่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน พรรค พปชร.ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น ยังไม่กล้าเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 เลย กว่า 8 ปี มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จะมีอะไรไปนำเสนอกับประชาชน ประชาชนไม่กังวลที่พรรค รทสช.จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯอันดับ 1 แต่กังวลกลัวว่าจะไม่กล้าเสนอมากกว่า ขอให้เร่งประกาศยืนยันเป็นทางการ ไม่ต้องลับลวงพรางเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจง่ายขึ้น หวังว่าการปฏิรูปการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ใช่ความพยายามรอบใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจกลับมาอีกรอบ แล้วแก้รัฐธรรมนูญปลดล็อกวาระนายกฯ 8 ปี เพื่อขออยู่ยาว 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ
พท.ปรับ กก.บห.ปิดช่องยุบพรรค
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส่วนการประชุมใหญ่วิสามัญวันที่ 6 ธ.ค.พรรคจะประชุมเลือกกรรมการบริหารทดแทนตำแหน่งที่ว่าง หลังกรรมการบริหารที่เป็น ส.ส.ลาออกป้องกันสุ่มเสี่ยงมีข้อแทรกซ้อนทางกฎหมาย ไม่ให้พรรคถูกกล่าวหาผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วถูกโยงมาสู่การยุบพรรคได้ รวมถึงการเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคที่ว่างลง เนื่องจากกรรมการสรรหาจากตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดหมดวาระไปไม่มีการปรับหัวหน้าและเลขา ธิการพรรคยังไม่เปิดตัวแคนดิเดตแน่นอนจะเปิดตัวในเวลาเหมาะสมช่วงใกล้หมดวาระสภาชุดนี้ หรือช่วงที่นายกฯตัดสินใจยุบสภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดิมพรรค พท.มีกรรมการบริหาร 23 คน แต่เหลือ 14 คน เพราะกรรมการบริหารที่เป็น ส.ส.ทยอยลาออก อาทิ นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ส.ส.สุรินทร์ เป็นต้น ยังเหลือที่เป็น ส.ส.บางส่วน เช่น นายสุทิน คลังแสง นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม จะปรับเปลี่ยน กก.บห.วันที่ 6 ธ.ค. ตอนนี้พรรคกำลังเร่งสรุปม็อตโต้สโลแกนที่จะใช้หาเสียง จะทยอยเปิดบางส่วนก่อนสิ้นปี 2565 เพื่อนำไปให้ ส.ส.ไปทำแบนเนอร์ ทยอยขึ้นป้ายหาเสียง เปลี่ยนโปรไฟล์ในโลกออนไลน์
“ก่อแก้ว” เตรียมสมัครเข้า พท.
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า วันที่ 28 พ.ย. นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำคนเสื้อแดง นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและแนวร่วมคนเสื้อแดง จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พท. โดยนายก่อแก้วเป็นแกนนำคนเสื้อแดงเพียงคนเดียวที่ยังไม่โดนตัดสิทธิทางการเมือง แม้ยังมีคดีก่อการร้ายสมัยการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 แต่ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ คดียังไม่ถึงที่สุด ส่วนแกนนำคนอื่นโดนคดีถึงที่สุด จนถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว
“พิธา–ธนาธร” โชว์ “ทุก จว.ไทยก้าวหน้า”
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดงานแถลงข่าวนโยบาย “ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า” ร่วมกับคณะก้าวหน้ามีแกนนำเข้าร่วมแถลงข่าว อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
เลือกตั้งนายก จว.–นายกเขต กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชุดนโยบายทุกจังหวัดไทยก้าวหน้าของพรรค ก.ก. แบ่งเป็น 4 ด้าน 13 นโยบาย ที่น่าสนใจ อาทิ ผู้บริหารจังหวัดเรา เราเลือกเอง ประกอบด้วยประชามติยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ไม่มีใครตกงาน-เสียประโยชน์ เลือกตั้งนายกจังหวัดทั่วประเทศ เลือกตั้งนายกเขต ทุกเขตใน กทม. ข้าราชการทุกสังกัด ศักดิ์และสิทธิเท่ากัน เพิ่มงบจังหวัดจัดการตนเองทุกปี ทั่วประเทศ 200,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปีจังหวัดละ 250 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปีเมืองละ 100 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี ตำบลละ 20 ล้านบาทต่อปี ภายใน 4 ปี และบริการสาธารณะในพื้นที่เราจัดการเองบริการสาธารณะถูก-เร็ว-ดี ท้องถิ่นจัดทำได้ทั้งหมด ยกเลิกกฎระเบียบและคำสั่ง คสช.ที่ล็อกคอ ล้วงลูกท้องถิ่น ภายใน 100 วัน เป็นต้น
100 วันแรกโละระเบียบ–คำสั่ง คสช.
นายพิธาแถลงว่า พรรคมีเป้าหมายปลดล็อกความกระจุกตัวของอำนาจและความเจริญ นโยบายกระจายอำนาจคือนโยบายเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง นำไปสู่การระเบิดพลังทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นโยบาย “ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า” จะพลิกประเทศทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว หากเป็นรัฐบาลสิ่งที่จะทำใน 100 วันแรกคือ ยกเลิกกฎระเบียบและคำสั่ง คสช.ทั้งหมดที่ล็อกคอ ล้วงลูกท้องถิ่น ถัดมาภายใน 1 ปี คือการทำประชามติว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการเลือกตั้งนายกจังหวัดทุกจังหวัด และยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ที่รับประกันว่าไม่มีใครตกงานหรือเสียประโยชน์และในทุกปีรัฐบาลก้าวไกลจะค่อยๆกระจายงบฯให้ท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและพัฒนาพื้นที่ ภายใน 4 ปี ท้องถิ่นทั่วประเทศจะได้งบฯเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นการเพิ่มงบฯ อบจ.ละ 250 ล้าน เมืองละ 100 ล้าน ตำบลละ 50 ล้านบาทต่อปีโดยเฉลี่ย
ชูนายก จว.เเทนผู้ว่าฯ คงกำนัน–ผญบ.
นายวรภพกล่าวว่า นโยบายทุกจังหวัดไทยก้าวหน้าประกอบด้วย 4 ข้อสำคัญ ได้แก่ 1.การวางโรดแม็ปไปสู่การเลือกตั้งนายกจังหวัดผู้บริหารสูงสุดในจังหวัดแทน ผวจ.ที่มาจากการแต่งตั้ง 2.การเพิ่มงบฯจังหวัดจัดการตนเอง 3.การปลดล็อกกฎระเบียบให้ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะ 4.การเพิ่มอำนาจประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน พรรคก้าวไกลขอยืนยันกับข้าราชการทุกคนที่สังกัดส่วนภูมิภาคและสังกัดส่วนท้องที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ว่า ทุกตำแหน่งแห่งหนจะยังคงอยู่ ทุกสิทธิประโยชน์จะยังคงเดิม และทุกความก้าวหน้าจะยังคงมี โดยการปฏิรูประบบราชการครั้งนี้ เป็นเพียงการเปลี่ยนการทำงานของข้าราชการบางส่วนในแต่ละพื้นที่ จากเดิมที่ทำงานแยกกันภายใต้อธิบดีกรมหรือปลัดกระทรวงที่อยู่ที่กรุงเทพฯเปลี่ยนเป็นทำงานร่วมกันภายใต้ผู้บริหารท้องถิ่นที่ประชาชนเลือกในพื้นที่โดยตรง โดยจะเป็นการออกแบบระบบราชการที่ทำให้ศักดิ์และสิทธิของข้าราชการทุกสังกัดเท่าเทียมกัน มีกลไกรองรับการถ่ายโอนโยกย้ายระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น
ปลดล็อกท้องถิ่นหลุดพ้น ปท.ล้าหลัง
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้ากล่าวว่า การกระจายอำนาจเป็นนโยบายหลักตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้าสานต่อภารกิจโดยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น เราผลักดันเรื่องนี้ ต้องการให้ประเทศเกิดการขับเคลื่อน 2 ทางควบคู่กัน ขับเคลื่อนจาก “ล่างขึ้นบน” ผ่านการสร้างผู้บริหารท้องถิ่นมีศักยภาพพิสูจน์ว่าท้องถิ่นพร้อมบริหาร พร้อมพัฒนาเมืองของตัวเอง ต่อมาคือการขับเคลื่อนจากบนลงล่าง “ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดเป็นที่มาของการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ที่มีประชาชนทั่วประเทศร่วมลงชื่อกว่า 76,591 คน จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 29-30 พ.ย. หวังว่าวันหนึ่งการขับเคลื่อนทั้ง 2 ทางจะมาบรรจบกันที่เส้นชัย คือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ก้าวหน้า หลุดพ้นจากประเทศกำลังพัฒนา
ดันแก้ ม.112 เป็นนโยบายหาเสียง
นายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ทวิตเตอร์ถามถึงการผลักดันการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ยืนยันยังคงผลักดันการแก้ไขมาตรา 112 เนื่อง ช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีการหยิบกฎหมายมาทำลายคนเห็นต่างทางการเมืองกับรัฐบาล ล่าสุดมี 19 คนที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิ ส.ส.ประกันตัว รัฐบาลชุดนี้ยังปิดกั้นการยื่นแก้ไขมาตรา 112 จากนี้จะพิจารณาว่าจะผลักดันในสภาฯได้อย่างไรบ้าง หากสมัยนี้ทำไม่ได้ สภาชุดหน้าต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม ยืนยันจะยังคงผลักดันต่อเนื่อง ทั้งในสภาฯ รวมถึงทำเป็นนโยบายหาเสียง จะทำตามบริบทของสถานการณ์ เพราะเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยพูดคุยในสภาฯเหมาะสมที่สุด มีประชาชนได้รับผลกระทบจากมาตรา 112 จำนวนมาก ผลงานของพรรคคือการยื่นแก้ไขมาตรา 112 และการอภิปรายงบฯ ปี 66 ที่อยู่ในงบฯนอกพระราชวัง รวมถึงการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 112 เป็น 3 อย่างที่พยายามทำเต็มที่ เพื่อให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยเป็นไปตามหลักสากล ส่วนวาระการประชุมรัฐสภาวันที่ 29-30 พ.ย.ที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 หมวดการปกครองส่วนท้องถิ่น เชื่อว่ารัฐสภาจะให้ความเห็นชอบ ฝ่ายค้านเห็นตรงกันจะให้ความเห็นชอบฝ่ายรัฐบาลต้องกระทุ้งถาม
“ชลน่าน” ชี้ไม่มีทางกลับไปหาร 500
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวถึง กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 30 พ.ย.ว่า บางคนพูดถึงจะกลับไปหาร 500 แต่ดูจากคำร้องของ ส.ส.และ ส.ว.ศาลต้องวินิจฉัยว่ามาตรา 25 และมาตรา 26 ของกฎหมายลูกที่ยกเลิกการคำนวณ ส.ส.พึงมีและ ส.ส.บัญชี รายชื่อพึงได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 ขัดหรือแย้ง รัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และ 94 และกระบวนการตรากฎหมายลูกไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนเป็นแบบบัตร 2 ใบ คิดคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อจากบัตรเลือกตั้งที่เลือกพรรคแล้ว จึงไม่มีกรณีคำนวณตามมาตรา 93 และ 94 คำชี้แจงของ กกต.ไม่มีข้อความใดบ่งชี้ว่ามาตรา 25 มาตรา 26 ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และ 94ผู้ร้องไม่ได้ร้องขอให้ศาลฯวินิจฉัยว่าการคำนวณ ส.ส.บัญชี รายชื่อ หาร 100 ตาม มาตรา 23 ในกฎหมายลูกขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นเหตุมิให้ศาลฯพิจารณากรณีนี้ จะวินิจฉัยว่าการยกเลิกไม่คำนวณ ส.ส.พึงมีและ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองพึงจะได้รับ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และมาตรา 94 หรือไม่ จะวินิจฉัยกระบวนการร่างกฎหมายลูกชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น ถ้าวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้ง กรณีไม่ใช่สาระสำคัญ 2 มาตรานี้ใช้บังคับไม่ได้ กฎหมายดังกล่าว ส.ส.เข้าสู่ขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ถ้าเป็นสาระสำคัญตกทั้งฉบับ ต้องไปยกร่างใหม่ เข้าสู่รัฐสภาใหม่ ไม่มีทางกลับไปหาร 500
“ระวี” แจงวิธีกลับไปใช้สูตรเก่า
นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า ยังเชื่อว่ามีโอกาส 50 ต่อ 50 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดรัฐธรรมนูญ หากศาลชี้ว่าร่างกฎหมายลูกขัดรัฐธรรมนูญเรื่องการใช้ 100 หาร ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทางออกที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 จากเดิมที่ระบุวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ เพื่อคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อในสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรง ก็ให้เพิ่มข้อความว่า “ในสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงหรือทางอ้อมเข้าไป” จากนั้นจึงไปแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ใช้ 500 หาร ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยยึดตามเนื้อหาที่ประชุมสภาฯแก้ไขความเห็นของ กมธ.ในวาระ 2 เป็นหลัก แค่นี้ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย แต่หากสภาฯยังอยากยึดสูตร 100 หาร ก็ต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และ 94 เรื่องจำนวน ส.ส.พึงมีเข้ามาใหม่ จากนั้นค่อยเสนอแก้กฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นสูตรหาร 100 อีกครั้ง
ขู่หากแก้ ก.ม.ยืดเยื้อเจอ พ.ร.ก.แน่
นพ.ระวีกล่าวว่า ประเมินดูแล้วไม่ว่าสภาฯจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นสูตรหาร 100 หรือ 500 ต้องกลับมาสู้กันใหม่อีก สงครามยังไม่จบ แต่จะมีกรอบเวลาเป็นเงื่อนไขให้สภาต้องตกลงกันให้ได้และพิจารณาให้เสร็จก่อนเดือน ก.พ.66 ที่จะปิดสมัยประชุมสภาฯ ถ้าแก้ไขไม่ทันเดือน ก.พ.ปีหน้า จะเจอการออก พ.ร.ก.มาบังคับใช้เป็นกติกาเลือกตั้งสมัยหน้า คงต้องให้ กกต.ยกร่าง ถ้าออก พ.ร.ก.ไม่ทันก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯต้องไปเปิดสภาฯสมัยวิสามัญในเดือน มี.ค.66 เพื่อพิจารณาจะเห็นชอบ พ.ร.ก.หรือไม่ ดังนั้นไม่ต้องห่วง มีทางออกสำหรับกฎหมายลูก ยังไงก็ได้เลือกตั้ง ถ้ายังยืดเยื้อ ตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเจอ พ.ร.ก. แม้ว่าการออก พ.ร.ก. จะไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ไม่มีทางเลือก
ซัด “บิ๊กตู่” ปล่อยจีนเทาเกลื่อนเมือง
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคามและรองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงธุรกิจสีเทาของกลุ่มทุนจีน หลังขยายผลจับกุมพบมีการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองใหญ่ว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบที่มาเงิน ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายหรือจากธุรกิจสีเทาหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เงียบหาย มีกลุ่มธุรกิจจีน 5 กลุ่มเกิดขึ้น สะท้อนว่ายังมีระบบส่วยอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและยาเสพติด กรณีธุรกิจจีนสีเทามีหลักฐานชัดเจนอาจมีเจ้าหน้าที่รับส่วย และยังมีธุรกิจสีเทาชาติอื่นๆอีก นายกฯควรออกมาชี้แจง รัฐบาลแจกหนังสือผลงาน 3 ปีให้ ส.ส.รับทราบ แต่ตนให้คะแนนการแก้ปัญหาเท่ากับศูนย์ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์บริหารงานเป็นปีที่ 8 ยังจัดการปัญหาทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรจะกลับมาเป็นนายกฯอีก ให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขปัญหาดีกว่า
ชงโอนหนี้ทรัพย์สินสายสีเขียวคืน รฟม.
นายยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาการต่อสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า หลังบีทีเอสขึ้นป้ายทวงหนี้ 4 หมื่นล้านบาทจาก กทม.ว่า พรรคเคยอภิปรายคัดค้านมาแล้ว 3 ครั้ง แต่การแก้ไขยังไม่คืบหน้า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารล้มเหลว เลี่ยงกฎหมายแล้วไปออกคำสั่งมาตรา 44 และนำไปสู่การเจรจาและต่อสัมปทานล่วงหน้า เกิดก่อนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาเป็นผู้ว่าฯ กทม.เป็นเหตุผลที่นายชัชชาติไม่สามารถจ่ายเงินได้ เพราะส่วนต่อขยายอยู่นอกเขต กทม. สภา กทม.ไม่มีอำนาจเบิกจ่ายได้ จึงขอเสนอทางออกให้ กทม.โอนหนี้และทรัพย์สินส่วนต่อขยายที่ 2 ที่วิ่งรถนอกเขต กทม.กลับคืนไปให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ส่วน รฟม.จะนำไปวิ่งรถหรือจะเปิดประมูล ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน ไม่ควรให้เป็นภาระ กทม. ครม.ควรมีมติยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 กรณีส่วนต่อขยายสัมปทานนอกเขต กทม.โดยเร็วที่สุด
ม็อบราษฎรทำใจถูกถอนประกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีกลุ่มราษฎรร่วมกับเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนเคลื่อนไหวชุมนุมช่วงการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 29 หรือ APEC2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พ.ย. วันเดียวกัน นายอานนท์ นำภา ทนายความ จากศูนย์ทนายสิทธิเพื่อมนุษยชน หนึ่งในแกนนำม็อบราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กเตือนแนวร่วมว่า “เท่าที่จะมีการไต่สวนถอนประกันจากกิจกรรมช่วงเอเปกน่าจะมีอย่างน้อย 6 คน เท่าที่ทราบ คือมายด์ ใบปอ หนอนบุ้ง ตะวัน เก็ทและโจเซฟ ในประเทศเผด็จการก็งี้ ขยับอะไรยากหน่อย ต่อให้รัฐธรรมนูญเขียนว่าการชุมนุมคือเสรีภาพ แต่สำนึกคนในชาตินี้ยังไม่เข้าใจและรัฐยังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ก็สู้กันต่อไปครับ อนาคตเป็นของพวกเราและเราจะสู้ไปด้วยกัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำม็อบราษฎรอยู่ระหว่างขอประกันตัวคดีมาตรา 112 และคดีอื่นๆ โดยนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือเก็ท น.ส.ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือใบปอ น.ส. เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง กลุ่มทะลุวัง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน นายกฤษพล ศิริกิตติกุล หรือโจเซฟ ทั้งหมดเคลื่อนไหวเรียกร้องยกเลิกมาตรา 112 ช่วงประชุมเอเปก นัดชุมนุมที่แยกอโศก และเดินรณรงค์ตามศูนย์การค้าต่างๆย่านราชประสงค์ ส่วน น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ เคลื่อนไหวเป็นแกนนำม็อบหยุดเอเปก จนเกิดเหตุปะทะตำรวจที่ถนนดินสอ
“พล.อ.สกล” ถึงแก่อนิจกรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 พ.ย. พล.อ.สกล ชื่นตระกูล หรือ “บิ๊กแขก” สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากช่วงค่ำวันที่ 22 พ.ย.65 ได้หมดสติเข้ารักษาที่ห้องไอซียูโรงพยาบาลพระมงกุฎ ก่อนถึงแก่อนิจกรรม จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ วันที่ 27 พ.ย. เวลา 17.00 น. ณ ศาลา 10 วัดโสมนัสราชวรวิหาร สวดพระอภิธรรมวันที่ 28 พ.ย.-3 ธ.ค.เวลา 18.30 น. และพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันที่ 4 ธ.ค. เวลา 15.30 น. พล.อ.สกล เกิดวันที่ 2 ก.พ.2497 เป็นอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2557 อดีตแม่ทัพภาค 4 อดีตราชองครักษ์พิเศษ อดีตที่ปรึกษานายกฯ จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 13 (ตท.13) ส่วนรายชื่อผู้ที่จะเลื่อนลำดับขึ้นมาเป็น ส.ว.แทน พล.อ.สกลคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และอดีตรอง ผบช.น.