“พล.อ.ประยุทธ์” เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาฉ้อโกงประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์-เว็บไซต์ ชี้ ไม่ได้เน้นจับกุมที่ปลายเหตุเท่านั้น ต้องป้องกันตั้งแต่ต้น
วันที่ 15 พ.ย. 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ว่า การประชุม ครม.วันนี้ มุ่งเน้นไปที่ร่างกรอบการเจรจาต่างๆ สำหรับการประชุมผู้นำเอเปก (APEC 2022) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งในรูปแบบของพหุภาคีและทวิภาคี ที่ล้วนแล้วแต่จะออกดอกออกผล ต่อยอดให้เกิดการประกอบอาชีพ รายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ SME/Startup การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษาวิจัย และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งประชาชนจะสามารถรับทราบข้อมูลและประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการประชุมเอเปกครั้งนี้ จากข่าวสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานภาครัฐ และตนเองก็จะนำมารายงานให้ได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการประชุม ครม. วันนี้ คือ นโยบายและความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่กำลังระบาดและเป็นปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน โดยมีผลการดำเนินงานแบ่งตามประเภทของการกระทำความผิด ดังนี้
1. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ได้รับแจ้งความ 7,629 คดี รวมความเสียหาย 1,800 ล้านบาท สามารถปิดกั้นการส่ง SMS จำนวน 33,216 ครั้ง และระงับเบอร์โทรแก๊งมิจฉาชีพ 42,929 หมายเลข รวมทั้งจับกุมผู้กระทำผิดได้ 166 ราย
2. บัญชีม้า ทำการอายัด 40,198 บัญชี และเตรียมอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการทำความผิดอีก 4,375 ล้านบาท (อายัดแล้ว 305.4 ล้านบาท) รวมทั้งปิดกลุ่มเฟซบุ๊กซื้อขายบัญชีม้าอีก 6 กลุ่ม
...
3. การหลอกลวงลงทุน-ระดมทุนออนไลน์ และการหลอกลวงทางการเงิน ได้รับการร้องเรียน/แจ้งความ 57,833 คดี รวมความเสียหาย 11,000 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถดำเนินคดีแล้ว 653 คดี มีผู้ต้องหา 747 ราย
4. การพนันออนไลน์ ปิดกั้น 1,507 เว็บไซต์ พร้อมดำเนินคดี 312 คดี มีผู้ต้องหา 403 ราย สร้างความเสียหาย 625 ล้านบาท
5. การหลอกลวงซื้อขายสินค้า/บริการออนไลน์ การแจ้งความ 42,638 คดี ก่อความเสียหาย 510 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถดำเนินคดีแล้ว 469 คดี มีผู้ต้องหา 490 ราย ครอบคลุมคดีสำคัญที่สังคมให้ความสนใจ ได้แก่ คดี Forex-3D ที่มีผู้เสียหายเกือบ 10,000 ราย สร้างความเสียหายราว 2,500 ล้านบาท และคดีฟาร์มเห็ด มีผู้เสียหายกว่า 2,700 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม
สำหรับแนวทางรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาไม่ได้เน้นเพียงการจับกุมที่เป็นปลายเหตุ แต่ต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ คือ
1. บูรณาการหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ องค์กรอิสระ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตลอดจนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายคือการถอนรากถอนโคนและทำลายเครือข่ายอาชญากรรมต่างๆ
2. เร่งรัดการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายประการด้วยกัน เช่น
(1) ออกพะราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อยับยั้งบัญชีม้าและธุรกรรมต้องสงสัย
(2) แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา และวิอาญา เพื่อให้การดำเนินคดีสอดรับกับรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
(3) ขยายผลประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ฯ (มีผลบังคับใช้ 25 ธ.ค. 2565)
(4) ยกร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลักษณะกิจการ หรือหน่วยงาน ที่ยกเว้นมิให้นำ PDPA มาใช้บังคับ ซึ่ง ครม. เห็นชอบในหลักการแล้ว
3. การเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์
(1) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่เชื่อมโยงกันและแลกเปลี่ยน ตรวจสอบข้อมูลข้ามหน่วยงานได้ และ Social Listening/Monitoring
(2) การเพิ่มเติมทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติ ทั้งบุคลากร เครื่องมือ และงบประมาณ เป็นต้น
“สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการหลอกลวงและกลโกงต่างๆ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันในตนเองให้กับพี่น้องประชาชนให้มีความตระหนักและรู้เท่าทันภัยที่เป็นด้านมืดของเทคโนโลยีดิจิทัล ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงต้องมีสติ รู้เท่าทัน รวมถึงช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส และติดตามข่าวสาร การแจ้งเตือนภัยรูปแบบต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและจากสื่อมวลชน ก็จะช่วยป้องกันการเสียหายก่อนที่จะมาถึงตัวและคนในครอบครัวของเรานะครับ”.