"ศ.ดร.วรเจตน์" อดีตแกนนำนิติราษฎร์ เตือน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหวยกเลิก ม.112 ให้ระวัง และเลิกคาดหวัง จะจบในรุ่นเรา เหตุ คนที่ออกมาหนุนยังไม่มากพอ ต้องส่งต่อการต่อสู้ไปอีกหลายเจเนอเรชัน เสนอให้ฝ่ายการเมือง รับไปเป็นด่านหน้าเพื่อผลักดันในสภา 

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 13 พ.ย. ที่ห้องพูนศุข วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มูลนิธิสิทธิอิสรา กองทุนประกันตัวให้ผู้ต้องหาคดี ม.112 และคดีชุมนุมทางการเมือง นำโดยน.ส.ไอดา อรุณวงศ์ ประธานมูลนิธิฯ จัดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ “112 กับสถาบันกษัตริย์ : 1 ทศวรรษเพื่อการทบทวน”

โดย ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ.และอดีตแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ หัวหอกสำคัญของการเสนอแก้ไข ม.112 กล่าวบรรยาย มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า เหตุผลสำคัญที่มาพูดวันนี้ คือ เป็นการครบรอบ 10 ปี ของคณะนิติราษฎร์ และคณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม ม.112 ที่ออกมาเคลื่อนไหวในปี 55 จึงคิดว่า สมควรจะมาทบทวนว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ศ.ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า ขณะนี้มีเยาวชนคนรุ่นใหม่ เข้ามามีบทบาทผลักดันการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ม.112 และมีการเสนอให้ยกเลิกมาตรานี้ แต่แนวคิดของตนมองว่า แต่ละรัฐต้องมีผู้แทนหรือประมุขที่คุ้มครองระบอบ ดังนั้นถ้าการคุ้มครองประมุขของรัฐเป็นไปเพื่อการรักษาระบอบการปกครอง ส่วนตัวไม่มีปัญหา ที่กฎหมายจะคุ้มครองประมุขรัฐต่างจากบุคคลธรรมดาบ้าง ประเด็นที่น่าจะมีปัญหาตอนนี้ คือ การคุ้มครองที่ควบไปถึงตำแหน่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตำแหน่งประมุขรัฐ ซึ่งในร่างแก้ไข ม.112 ของคณะนิติราษฎร์ เมื่อ 10 ปีก่อน ก็มีการขอให้แยกการคุ้มครองกฎหมายระหว่าง พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ออกจากกัน

"ยอมรับว่าตลอด 10 ปีส่วนตัวเคยถูกกล่าวหลายเรื่องทั้งเรื่องเนรคุณ และรับเงินจากอดีตนายกฯ คนหนึ่ง ยืนยันไม่ใช่เรื่องจริง มิฉะนั้นช่วงที่มีการรัฐประหาร ปี 57 ตนคงถูกตรวจสอบและอายัดบัญชีไปแล้ว แต่มีบทเรียนบางอย่างที่อยากจะบอกกับนักเคลื่อนไหวในปัจจุบันว่า เราต้องไม่ลืมว่า กฎเกณฑ์ของ ม.112 ขณะนี้ยังไม่ถูกแก้ และมีผลบังคับใช้อยู่ ดังนั้นยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่พูดในที่สาธารณะไม่ได้ การเคลื่อนไหวจึงต้องมีความระมัดระวังอย่างสูง ตนเข้าใจเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่กำลังออกมาเคลื่อนไหวและถูกกดทับโดยบทบัญญัติของมาตรานี้ แต่ต้องพยายามเข้าใจว่า การต่อสู้เรื่องนี้เป็นการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงระยะยาว เป็นเรื่องที่ต้องทำใจว่า อาจจะไม่จบใน เจเนอเรชันเดียว ต้องส่งผ่านต่อๆ ไปในหลายๆ เจเนอเรชัน เมื่อมีใครคนใดจุดไฟขึ้นมาแล้วก็ต้องพยายามหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้ดับ โดยไม่ต้องคาดหวังว่า จะต้องสำเร็จในรุ่นเรา เพราะสภาพสังคมต้องการรวมคนมากกว่านี้อีกเยอะ 10 ปี ที่ผ่านมา แม้มีการเปลี่ยนแปลงก็จริงแต่ปริมาณคนยังไม่มากพอ จึงต้องยอมรับตรงจุดนี้ ดังนั้นถ้าจะพูดกับคนที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันนี้ได้ก็อยากให้สุขุมรอบคอบ และอาจต้องทำใจว่า ต้องมีบาดเจ็บ ถูกกล่าวหาในเรื่องต่างๆ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องยืนยันในการต่อสู้ในระยะยาว"

...

ศ.ดร.วรเจตน์ กล่าวว่า ทุกวันนี้อุดมการณ์ของผู้บังคับใช้ ม.112 ไม่เปลี่ยน บางคดีไม่เข้าข่ายการหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย เช่น การไม่แสดงความเคารพ แซะ เสียดสี เลียนแบบ แต่คนบังคับใช้กฎหมายกลับขยายจุดนี้ออกไปให้เข้าข่าย เท่ากับไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ตัวบท ให้เป็นการตีความตามความเชื่อ

ส่วนตัวหากจะทำแบบนี้ควรไปเสนอฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายให้กว้างขวางและครอบคลุม ส่วนตัวมองว่า ถึงอย่างไรก็ต้องแก้ มิฉะนั้นก็จะมีการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะแบบนี้ต่อไป ทั้งอนาคต ควรมีระบบการตรวจสอบความชอบธรรมของศาลในการวินิจฉัยคดีด้วย สำหรับภารกิจ ม.112 ด่านหน้าสุด คือ นักการเมืองที่จะผลักดันแทนประชาชนในสภาฯ ระหว่างทางจะต้องมีคนบาดเจ็บได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวที่ต้องทำ คือ ทำให้คนถูกดำเนินคดี ได้สิทธิ์ในการต่อสู้ในชั้นศาล ซึ่งมูลนิธิสิทธิอิสราเป็นผู้ดำเนินการอยู่ในเบื้องหลัง สำหรับนักการเมือง ก็น่าจะสามารถสนับสนุนบริจาคให้มูลนิธิแบบเปิดเผยได้ ถ้าไม่พร้อมจะไปให้ประกันผู้ถูกดำเนินคดีโดยตรง ก็ช่วยผ่านทางมูลนิธิ คงไม่น่าถึงขั้นยื่นถูกยุบพรรค เพราะมูลนิธิฯไ ม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย