ส.ส.ปชป.รวมตัวเรียกร้อง รัฐบาลเร่งแก้ไข พ.ร.บ.ประมง หวังกอบกู้วิกฤติประมงไทย ชี้ กฎหมายฉบับนี้ฟังปัญหาไม่รอบด้าน ส่งผลกระทบต่อกลุ่มประมงทั่วประเทศ ผู้ประกอบการหลายรายต้องล้มละลาย เป็นหนี้
วันที่ 3 พ.ย. 2565 ที่รัฐสภา นางกันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.จังหวัดพังงา ในฐานะประธาน กมธ.การเกษตรฯ สภาฯ นำทีม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง, น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา, นายประมวล พงษ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์, นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง, นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี, นายสราวุธ อ่อนละมัย กับ นายอิสระพงษ์ มากอำไพ ส.ส.ชุมพร, นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี ส.ส.สุราษฎร์ธานี และนายเกียรติ สิทธีอมร, นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมแถลงเรียกร้องให้รัฐสภาเร่งพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ประมง ให้ชาวประมงทั้งประเทศได้รับความเป็นธรรม โดยนางกันตวรรณ กล่าวว่า ปัญหานี้เกิดจากการแก้ไขปัญหาซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ EU ประกาศให้ธงเหลือง IUU Fishing กับประเทศไทย รัฐบาลจึงออกพ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 แต่เป็นการเร่งรีบ รับฟังปัญหาไม่รอบด้าน ส่งผลกระทบต่อกลุ่มประมงทั่วประเทศ ต่างให้ร้องเรียน ส.ส.พรรคปชป. ว่า พ.ร.บ.นี้รับฟังปัญหาไม่เพียงพอ และไร้ตัวแทนชาวประมงเข้าไปเสนอปัญหา ทำให้การออกกฎหมายในครั้งนั้น ทำให้ผู้ประกอบการประมงต้องล้มละลาย เป็นหนี้สินจำนวนมาก ปัจจุบันปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข กมธ. การเกษตร สภาฯ ได้ตั้ง อนุกมธ.พิจารณา พ.ร.บ.ประมง มีนายนริศ เป็นประธาน อนุกมธ.ชุดนี้มีกรอบเวลาพิจารณา 150 วันเพื่อนำเสนอรายงานต่อสภาไประยะหนึ่งแล้ว เรื่องถูกบรรจุอยู่ในระเบียบวาระ และยังไม่ได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณา ทำให้ปัญหาของชาวประมงยังไม่ได้รับการแก้ไข ตึงขอเรียกร้องให้สภาฯ เร่งนำ พ.ร.บ.ประมง ขึ้นมาพิจารณาด้วย
...
ด้านนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ในฐานะอนุกมธ.เพื่อพิจารณา พ.ร.บ.ประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการประมงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการที่ EU ได้ประกาศยกระดับมาตรการประมงไทยให้เทียบเคียงมาตรฐาน EU โดยเร่งรัดให้ไทยแก้ไขปัญหาเร็วที่สุด โดยกล่าวหาไทยทำประมงผิดกฎหมายและค้ามนุษย์ รัฐบาลช่วงนั้นเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ได้ใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 10/2558 เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ภายในเวลา 6 เดือน ส่งผลกระทบต่อเรือประมง โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ ซึ่งไทยนั้นมีกองทัพเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดติด 10 ของโลกมาตลอด ทำให้เหลือเรือที่ตรงมาตรการ EU เพียง 3 ลำ และจากที่ประมงเคยทำรายได้เข้าประเทศหลายแสนล้านต่อปี จนในที่สุดทำให้ไม่มีรายได้จากการทำประมงเลย จากข้อเสนอของ อนุกมธ.ที่ได้เสนอต่อสภาไปแล้วนั้น มีข้อเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประมงด้วย จึงได้เชิญชวนชาวประมงมาร่วมกันร่างแก้ไขกฎหมายใน 14 ประเด็น 19 มาตรา แต่ในชั้น กมธ.จะสามารถแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ได้มากยิ่งขึ้น
“ผมเชื่อมั่นว่า หากการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ประมง โดยพรรคประชาธิปัตย์ เข้าสู่การพิจารณาของสภา จะทำให้พี่น้องภาคการประมงสามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกครั้ง แม้จะไม่เหมือนกับในอดีตที่เราเคยเป็นเจ้าแห่งประมงโลก แต่เราก็สามารถกลับเข้ามาสู่จุดใกล้เคียงกับจุดเดิมได้ และกลับมามีทัพเรือประมงที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกได้ รวมทั้งทำรายได้เข้าประเทศปีละ 4 แสนล้านได้อีกครั้ง ซึ่งจากข้อเสนอทั้ง 11 เรื่องของพี่น้องชาวประมง จะได้รับการแก้ไขโดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ
เชื่อว่าภาคประมงจะกลับมาได้อีกครั้ง” นายนริศ กล่าว
ขณะที่ นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย ทางสหภาพยุโรป IUU ก็มีความพยายามกดดันประเทศไทย โดยพบว่าใน กมธ.ของยุโรปเองก็มีรายงานภายในที่ชี้ให้เห็นว่ามาตรการของ IUU นั้นเลือกปฏิบัติ และมีหลายกรณีที่แม้แต่ประเทศในกลุ่มยุโรปเองก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นหากจะปลดทุกข์ของชาวประมงได้ ก็จะต้องมีเรื่องในมิติระหว่างประเทศด้วย โดยจะต้องมีการเจรจาที่เข้มข้น และนำเสนอข้อมูลที่ชี้ชัดว่ามีการนำมาตรการมาใช้เลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ขณะที่ประเทศซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของสหภาพยุโรปนั้นกลับได้สิทธิพิเศษ
“ในปี 2558 มีการแก้ไขมาตรการเกินกว่าที่สหภาพยุโรปเรียกร้อง และมีความสลับซับซ้อน ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในชีวิตของการทำประมงของทุกประเทศ ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ดังนั้นกฎหมายเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อปลดทุกข์ให้พี่น้องชาวประมงให้ได้ เมื่อวานนี้ผมได้พบกับรองประธานสภาสหภาพยุโรปได้ชี้แจงเรื่องนี้และขอให้นำเรื่องนี้กลับไปทบทวนด้วย พร้อมกับแนะให้รัฐบาลได้เปิดการเจรจาเชิงรุกด้วย เพื่อทำให้ปัญหาของชาวประมงได้รับการแก้ไข โดยจะต้องแยกแยะปัญหาและข้อเรียกร้องระหว่างประมงพื้นบ้านกับประมงเชิงพาณิชย์ด้วย เพราะทั้ง 2 กลุ่มประสบปัญหา และมีข้อเรียกร้องที่แตกต่างกัน”.