ปลัดมหาดไทย สั่งทุกจังหวัดทั่วประเทศติดตามการแก้ไขปัญหาความยากจน เน้นย้ำรีเช็กข้อมูลให้ถูกต้องชัดเจน ขอให้ข้าราชการในสังกัดทุ่มเท-เสียสละช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนอย่างเต็มกำลัง

วันนี้ (26 ต.ค. 2565) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรม รัฐวิสาหกิจ และสำนักงานจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านระบบคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนผ่านกลไกศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานหลักในการบูรณาการขับเคลื่อนในพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นแม่ทัพในการแก้ไขปัญหาความยากจนร่วมกับขุนพลในทุกจังหวัด อำเภอ ซึ่งนิยามของคำว่า ความยากจน คือ ทุกเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังประสบอยู่ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง

จากผลการสำรวจการแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยในแพลตฟอร์ม ThaiQM ภาพรวมประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค. 2565) พบว่า มีจำนวนครัวเรือนที่ประสบปัญหา 3,810,466 ครัวเรือน แก้ไขปัญหาแล้ว 1,908,619 ครัวเรือน คิดเป็น 50.09% โดยเมื่อจำแนกตามจำนวนปัญหามี 12,143,656 เรื่อง แก้ไขแล้ว 5,159,142 เรื่อง คิดเป็น 55.48%

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เป็นไปอย่างครอบคลุม ครบถ้วนและต่อเนื่อง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย จึงให้ทุกจังหวัดสำรวจ รีเช็กข้อมูลสภาพปัญหาในแพลตฟอร์ม ThaiQM ทั้ง 35 ปัญหา จำแนกออกมาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นว่าในจังหวัดมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อพิจารณาสั่งการหน่วยงานราชการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหา เช่น ปัญหาคนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดเป็นหน่วยงานหลัก, ปัญหางานทะเบียนและบัตร (ไม่มีชื่อในทะเบียน ไม่มีบ้านเลขที่) ให้นายอำเภอดำเนินการ

...

พร้อมทั้งย้ำเตือนว่า นายอำเภอต้องเป็นธุระในทุกปัญหาด้วย เพราะถือเป็นนายกรัฐมนตรีของอำเภอที่ต้องพุ่งเป้าแก้ไขปัญหา เชิญหน่วยงานในพื้นที่มาคุย สอบถามความคืบหน้า ให้คำแนะนำ และลงไปช่วยขับเคลื่อน หากสภาพปัญหาใดเกินกำลังของอำเภอให้แจ้งขอรับการสนับสนุนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งหัวหน้าสำนักงานจังหวัดในฐานะเลขานุการร่วม ต้องเป็นศูนย์กลางในการประชุมทีม ประกอบด้วย พัฒนาการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด และจ่าจังหวัด เพื่อกำกับดูแล ติดตาม ประเมินผล วิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง ปัญหาอุปสรรค ความสำเร็จของอำเภอตัวอย่าง เป็นต้นแบบให้ทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้านได้ รวมทั้งหาแนวทางขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง นำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อรายงานมายังปลัดกระทรวงมหาดไทย

“การเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนต้องมีอุดมการณ์บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ข้าราชการสำนักงานจังหวัดปฏิบัติงานที่ศาลากลางจังหวัด มีโอกาสดีๆ มากกว่าเพื่อนข้าราชการที่ทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอต่างๆ ดังนั้น ต้องแปลงออกมาเป็นความเอาใจใส่ในการทำงาน เป็นเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัดที่รอบรู้ทุกเรื่องของพื้นที่ ทำหน้าที่ให้เต็มกำลังความสามารถ เอาใจไปใส่ในงาน ช่วยกันดู ช่วยกันคิด ช่วยกันวางระบบ ปลุกเร้าให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีข้อมูลที่สามารถพิจารณาสั่งการฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่

ซึ่งการแก้ไขปัญหาความยากจน กระดุมเม็ดแรกคือ ต้องหาเป้าให้เจอ ทุกจังหวัดต้องเช็กว่าสถิติปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของจำนวนครัวเรือน/ประชากรในจังหวัดที่ร้อยละ 21 หรือไม่ หากต่ำกว่าต้องคาดการณ์ว่าข้อมูลที่มีอยู่อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และต้องมอบหมายให้ไปรีเช็กข้อมูลปัญหาความเดือดร้อนในแต่ละหมู่บ้านอีกครั้งเพื่อยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อดำเนินการกระดุมเม็ดที่สอง คือการลงไปแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามเป้าที่ได้ทำการสำรวจและติดตามดูแลครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางอยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน โดยทุกจังหวัดต้องยังคงรักษาแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดความต่อเนื่อง หากนอกเหนือเกินกำลังของจังหวัด ขอให้แจ้งมายังปลัดกระทรวงมหาดไทยส่วนกลาง เพื่อหาทางช่วยเหลือให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และต้องกำหนดให้การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็น KPIs ของจังหวัด อำเภอ กรม และรองปลัดกระทรวงประจำภาคด้วย”

ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุต่อไปอีกว่า ขอให้ชาวมหาดไทยตระหนักว่าการหาข้อมูลคนจน และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนไม่มีทางสมบูรณ์ แม้ว่าจะไปสร้างบ้านให้เสร็จแล้วก็ตาม ดังนั้น การแก้ไขปัญหามิติด้านที่อยู่อาศัยต้องคู่กับเรื่องอาชีพจึงต้องมีพี่เลี้ยงดูแล เพราะบางคนอาจไม่มีศักยภาพการทำงาน ถูกทอดทิ้ง และไม่มีญาติพี่น้อง ขอให้กรมการปกครองแจ้งให้นายอำเภอวางระบบการดูแลประชาชนในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน หรือเรียกว่าระบบญาติมิตร นายอำเภอต้องเป็นผู้นำส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการหมู่บ้าน ช่วยกันวางระบบทำให้บ้านใกล้เรือนเคียงช่วยกันดูแลกัน ทั้งครัวเรือนที่ตกเกณฑ์ และครัวเรือนทั่วไปได้ เช่น การจัดกิจกรรมให้เด็กนักเรียนไปพูดคุยกับผู้สูงอายุในชุมชนที่อาศัยโดยลำพัง จะทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว นอกจากนี้ จังหวัดและอำเภอยังสามารถคิดริเริ่มกิจกรรมอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการเสริมสร้างการดูแลช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลของคนในชุมชน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้

“ขอให้ข้าราชการมหาดไทยทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ทุ่มเท เสียสละ ในการอุทิศตนเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อทรงเบาพระราชหฤทัยที่มีพวกเราชาวมหาดไทยเป็นข้าราชการที่ดี ขับเคลื่อนงานแก้ไขทุกปัญหาความเดือดร้อน ทำให้พสกนิกรของพระองค์ท่านมีความสุข หมดจากทุกข์ อันผลให้ประเทศชาติมีความสงบสุขอย่างยั่งยืน”