“มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” ค้านควบรวม “ทรู-ดีแทค” หวั่นอำนาจเหนือตลาดผูกขาดกระทบประชาชน ทำทางเลือกหาย จี้ กสทช. แก้กฎหมายลดค่าบริการมือถือ 

วันที่ 19 ต.ค. 2565 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีการจะควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างบริษัททรูคอร์ปอเรชั่น และ DTAC ตามที่มีการประกาศควบรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมและทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะพิจารณาว่าจะอนุญาตให้มีการควบรวมกิจการหรือไม่ในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ว่า สังคมต้องจับตามองเรื่องนี้ เพราะเป็นประโยชน์สาธารณะ และหากมีการควบรวมได้ก็อาจส่งผลให้เกิดทั้งกระแสคัดค้าน และความกังวลใจด้านผลกระทบต่อประสิทธิภาพการแข่งขันและการมีอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจที่ประชาชนผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อหรือไม่ ซึ่งปัญหาจะตามมา ทั้งในส่วนของค่าบริการที่จะเป็นธรรมหรือไม่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านเทคโนโลยีและทางเลือกของประชาชนที่จะลดหายไป

อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ควบรวมได้เท่ากับไม่ยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชนตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านธรรมาภิบาล ความสามารถทางการแข่งขัน และขัดต่อระเบียบกติกา รวมถึงการผูกขาดอำนาจเหนือตลาด โดยทั้งหมดนี้จะส่งผลทั้งในอนาคตอันใกล้และไกลต่อการพัฒนา ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา โดยผลกระทบที่หนักสุดจะกลายเป็นภาระของผู้บริโภคในอนาคตคือเด็ก เยาวชนของเราที่เขาจะเติบโตมาและจะเป็นผู้ที่มาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ที่ซึ่งผู้ใหญ่ปัจจุบันก่อการผูกขาดไว้ให้เขา


“ไม่สมควรทำ ไม่ควรละเลยในเรื่องของกติกา และกฎหมายสูงสุดโดยเฉพาะเจตนารมณ์ในการคุ้มครองผู้บริโภคคือประชาชน โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่กำหนดเรื่องประโยชน์สูงสุดของประชาชน แต่เจตนาของการควบรวมชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเจตนาแห่งธุรกิจของผู้ประกอบการไม่สามารถอธิบายในเรื่องของทางเลือกของประชาชนอยู่ตรงไหน จึงขอฝากไว้ให้ กสทช. ต้องคิด ด้วย และขอให้ กสทช. กล้าทำหน้าที่ของตนเองโดยการนำผลการศึกษาจากทุกคณะมาเปิดเผยให้หมด เพื่อหาความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคและประชาชน สิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องแก้ไขกฎหมายและกติกาที่ใช้มาตั้งแต่ประชาชนมีมือถือทั้งประเทศแค่ 5-6 ล้านเครื่อง แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้จำนวนมือถือโดยเฉพาะสมาร์ทโฟนทวีคูณจำนวนคนไปมากแล้ว ขอให้เร่งพิจารณาปรับค่าบริการลดลงให้มากที่สุดทุกค่ายทุกโครงข่ายเครือข่าย สิ่งที่น่าเสียดายคือ เมื่อมีวิกฤติโดยเฉพาะโควิด-19 จะเห็นว่าผู้ประกอบการได้รับประโยชน์มากที่สุดเพราะนโยบายเวิร์กฟรอมโฮม โดยค่าบริการไม่ได้ลดลงเลยและในช่วงวิกฤติน้ำท่วมผู้ให้บริการก็ไม่ได้ช่วยดูแลผู้บริโภคในภาวะนี้ ในส่วนนี้ทั้งหมดนี้จึงเป็นหน้าที่ของ กสทช. มีหน้าที่ต้องทำงานไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนถูกเอาเปรียบ” นางมัลลิกา กล่าว

...


ทั้งนี้ นางมัลลิกา เปิดเผยต่อว่า ผลการสำรวจประชาชนอายุ 6 ปีขึ้นไป ประมาณ 65.4 ล้านคน พบว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 56.7 ล้านคน คิดเป็น 86.6% ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 62.3 ล้านคน คิดเป็น 95.2% และผู้มีโทรศัพท์มือถือ 57.5 ล้านคน คิดเป็น 87.9% แบ่งเป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน 94.1% และโทรศัพท์มือถือระดับกลาง (Feature phone) 6% และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้หลายคนต้อง Work frome Home ส่วนนักเรียนนักศึกษาก็ต้องปรับการเรียนการสอนเข้าสู่การเรียนในโลกออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้ปริมาณคอมพิวเตอร์ประจำครัวเรือนเพิ่มขึ้น อีกทั้งจำนวนสมาร์ทโฟนก็มากตามไปด้วย คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนจึงกลายมาเป็นเครื่องมือสื่อสารจำเป็น ที่ในยุคนี้ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนจำเป็นต้องมีเครื่องมือเหล่านี้ในการเรียนรวมถึงทำงานเป็นภาคบังคับไปแล้ว แต่ผู้คุมกฎ คือ กสทช.กลับ ไม่ขยับด้านกติกาและกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและถูกลง