หัวหน้า ปชป. ย้ำหน้าที่พรรคร่วม ต้องให้เกียรติผู้นำรัฐบาล เตรียมรับมือไว้ทุกสถานการณ์แล้ว ชี้หากยุบสภามองว่าควรทำหลังเอเปก ปรับ ครม. โควตาต้องตามเดิม

วันที่ 2 ต.ค. 2565 ที่โรงแรมอวานี พลัส เกาะลันตา จ.กระบี่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการสัมมนา ส.ส. ของพรรค ทั่วประเทศที่เกาะลันตา จ.กระบี่ ซึ่งทำมาทุกครั้ง หลังปิดสมัยประชุม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเมินสถานการณ์ รวมทั้งกำหนดทิศทางของพรรคในการเดินหน้าต่อไป โดยตนจะได้ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา จากนั้นจะมีรองหัวหน้าพรรค ที่กำกับดูแลแต่ละภาครายงานความคืบหน้าการดำเนินการ และมีเลขาธิการพรรคเป็นผู้ปิดการสัมมนา

“เป็นเรื่องภายใน ไม่ได้เคร่งครัดอะไรเป็นพิเศษ เพราะผู้แทนก็เหนื่อยมาตลอดสมัยประชุม และทุกคนก็ลงพื้นที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ก็ถือโอกาสมาพักผ่อนด้วย ในช่วงแค่ 1 วัน – วันครึ่งแค่นี้ หลังจากนี้ก็คงต้องลงพื้นที่ไปปฏิบัติภารกิจของแต่ละฝ่ายต่อไป ส่วนเรื่อง กกต. นั้น เป็นเรื่องทุกพรรค มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่ง กกต. หรือตามกฎหมาย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต. ได้ส่งตัวแทนมาเข้าให้ความชัดเจนกับว่าที่ผู้สมัครของพรรคหรือไม่นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พรรคได้เชิญไปแล้ว แต่ กกต. ได้ออกประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรมา แต่สิ่งที่ตนได้เคยเสนอไปก่อนหน้านี้ก็คือ อยากเห็น กกต. ตั้งสายด่วนขึ้น เพื่อคอยตอบคำถามให้กับผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง หรือผู้ที่สนใจ หรือตอบคำถามจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีข้อสงสัยในเรื่องภาคปฏิบัติจริง โดยจะขอให้ผู้ที่ตอบคำถามในฐานะที่เป็นตัวแทน กกต. ได้ ซึ่งเรื่องนี้จะมีส่วนช่วยทำให้ทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบของ กกต. ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ด้วยความเข้าใจมากยิ่งขึ้น หากทำได้จะดีที่สุด

...

ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ฝ่ายค้านต้องการให้คลายล็อค หรือแก้ไข กฎเหล็ก 180 วัน ของ กกต. นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทุกพรรคมีหน้าที่ต้องปรับตัวให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ และเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องปฏิบัติ ส่วนในฐานะรัฐบาล รัฐบาลก็ทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลได้ เพราะแต่ละกระทรวงก็มีภารกิจที่มีความแตกต่างกัน อันนั้นก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะของหน่วยราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรับ ตนก็คิดว่าควรจะทำได้ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะบริหารประเทศในช่วงเวลานี้ได้อย่างไร จะสนองตอบต่อการแก้ปัญหาได้อย่างไร หรือทำหน้าที่ได้ครบถ้วนได้อย่างไร

“สำหรับความคิดผม ก็คิดว่าควรจะทำได้ในขอบเขตที่เป็นอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง แต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ส่วนที่ผู้สื่อข่าวถามถึงการวางช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปคุยกับนายกรัฐมนตรี ในเรื่องการปรับ ครม. นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ท่านนายกฯ คงต้องเริ่มต้นกลับมาปฏิบัติงานตามปกติก่อน เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ไปรบกวนท่าน แต่ได้สื่อสารทางด้านอื่นเพื่อประสานงานกับท่านมาตลอด เพียงแต่ไม่ได้มาให้ข่าวกับสื่อเท่านั้น และเมื่อท่านนายกฯ มาปฏิบัติภารกิจตามปกติ ก็จะถือโอกาสในการที่จะมาหารือกับท่านว่า ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร

“ต้องนับหนึ่งที่ท่านด้วย เราต้องให้เกียรติ คนที่เป็นผู้นำรัฐบาล แม้ประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่งก็ตาม แต่เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องให้เกียรติท่านนายกฯ ส่วนผมเมื่อโอกาสเหมาะสมก็จะไปหารือ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

เมื่อถามว่าเรื่องอายุรัฐบาลที่เหลืออยู่นี้ เหมาะสมกับการปรับ ครม. หรือไม่นั้น ว่า อยู่ที่ความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ มันไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะไปบังคับกำหนด เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ รัฐธรรมนูญก็เปิดโอกาสให้ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม จะเหลือเวลาเท่าไหร่ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละกรณี แต่ละสถานการณ์

เมื่อถามย้ำว่าสถานการณ์ใน ครม. ขณะนี้ว่าควรปรับ ครม. แล้วหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า “ผมไม่มีความเห็น ขอหารือกับท่านนายกฯ ก่อน มันก็ไม่เหมาะนะครับ แต่ไม่ได้แปลว่าคิดเองไม่เป็นนะครับ คิดเป็นครับ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คิดเป็นทุกคน เพียงแต่เราต้องทำงานบนพื้นฐานของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

ส่วนจะมีการขอโควตารัฐมนตรี หรือปรับเปลี่ยนกระทรวงนั้น ก็คงเป็นไปตามเดิมในความเห็นผม เพราะยังไม่มีสัญญาณอะไรที่จะเปลี่ยนแปลง ส่วนจะส่งผล หรือเกิดแรงกระเพื่อมกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ มองว่าทุกพรรคก็ทราบอยู่แล้วว่า สัดส่วนของแต่ละพรรคมีจำนวนเท่าไหร่ พร้อมเชื่อว่า จะไม่มีแรงกระเพื่อมภายในพรรค และตอนนี้ยังไม่มีชื่อไว้ในใจ เพราะทุกอย่างต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการของพรรค แต่ตนเองมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคได้มีการประเมินสถานภาพรัฐบาลว่าจะอยู่ครบเทอม หรือจะมีการยุบสภาหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง เพราะจะอยู่ครบเทอมก็เป็นไปได้ จะมีการยุบสภาก็เป็นไปได้ ทั้งหมดก็อยู่ที่หัวหน้ารัฐบาลด้วย เพราะคนที่มีอำนาจยุบสภาคือนายกรัฐมนตรี แต่เชื่อว่านายกฯ คงให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล และคงสอบถามเพื่อหารือ แต่ทุกพรรคก็ต้องเตรียมรับมือไว้ทุกสถานการณ์

“อย่างน้อยประชาธิปัตย์ก็เตรียมรับมือไว้แล้วทุกสถานการณ์ เดี๋ยวผมจะถือโอกาสรายงานให้ที่ประชุม ส.ส. ได้รับทราบในช่วงพิธีเปิดสัมมนา ว่าน่าจะเป็นอย่างไร ถัดจากนี้เราต้องเตรียมอะไรบ้าง ในฐานะพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่จะต้องลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับอีกหลายพรรคแน่นอน ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการประเมินช่วงเวลาการยุบสภาหรือไม่ ว่าจะเกิดในช่วงใด หลังการประชุมเอเปก หรือช่วงหลังปีใหม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า หากไปยุบในช่วงเอเปก ก็คงจะยุ่ง เพราะไม่ใช่การประชุมเล็กๆ และมีผู้นำระดับสูงของแต่ละประเทศมา เพราะฉะนั้นก็ควรผ่านพ้นเอเปกไปเสียก่อน

เมื่อถามถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ที่ยังมีมวลชนบางส่วนยังไม่ยอมรับการกลับมาของนายกฯ ประยุทธ์ นั้น จะส่งผลให้การบริหารของรัฐบาลไม่ราบรื่นหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนเคยตอบคำถามนี้ไปแล้วว่า ตนเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมประชาธิปไตย ที่ความเห็นต่างนั้นมีได้ ส่วนนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับส่วนรวมกับประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ต้องบริหารความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในสังคมให้ได้ ซึ่งก็คงมีประสบการณ์มาตลอด 3 ปีครึ่งมาแล้ว ท่านนายกฯ ก็คงทราบว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ถ้ารับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน มันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่สุดท้ายทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับความเห็นรวมๆ ของประชาชนทั้งประเทศด้วย แต่ถ้าจะถามว่าจะรู้ได้อย่างไรนั้น ก็ต้องประเมินเอา เพราะสุดท้ายก็ไปอยู่ที่ผลการเลือกตั้ง ซึ่งอีกไม่นาน เพราะถ้าอยู่ครบเทอม ก็ 7 พ.ค. เพราะ กกต. ก็พูดไว้โดยประมาณแล้ว ยกเว้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง