อาจพูดได้ว่าในปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศที่มีพรรคการเมืองมากที่สุดในโลก ในช่วงการเลือกตั้ง 2562 มีกว่า 70 พรรค ที่ส่งสมาชิกเข้าแข่งขัน ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เข้าสภาถึง 26 พรรค ซึ่งถือว่ามากกว่าประเทศอื่นๆ แม้จะล้มหายไปหลายพรรคหลังการเลือกตั้ง แต่ก็มีพรรคใหม่ๆเกิดขึ้นอีกหลายพรรค หลังการเลือกตั้ง
ขณะนี้ มีการเคลื่อนไหวเพื่อควบรวมพรรคอย่างคึกคัก เนื่องจากกติกาการเลือกตั้งเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากการมี ส.ส.แบ่งเขต 350 คน เพิ่มเป็น 400 คน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลดลง จาก 150 คน เหลือ 100 คน และเปลี่ยนตัวหารเพื่อคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จาก 500 เป็น 100 กระทบต่อพรรคเล็กรุนแรง
ในทางทฤษฎีการเมืองไทยในปัจจุบัน เป็นประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แต่ในภาคปฏิบัติไม่ใช่ เพราะประเทศระบบรัฐสภา จะต้องมีระบบพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง มีเพียงพรรคเดียวหรือเพียงไม่กี่พรรคที่มีเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่เข้มแข็งและบริหารประเทศตามนโยบายตามสัญญา จึงได้รับความเชื่อถือ
ประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็น ส.ส. (แม้รัฐธรรมนูญจะไม่บังคับ) และเป็นหัวหน้าพรรคที่คุมเสียงข้างมาก มีอำนาจบารมีควบคุมเสียง ส.ส. แต่ระบบรัฐสภาไทย นายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นแม้แต่สมาชิกพรรค จึงคุมเสียงในสภาไม่ได้ ไม่รู้ว่าสภาจะล่ม หรือร่าง ก.ม.ถูกคว่ำเมื่อใด
แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็อาจถูก ส.ส.ของพรรคแกนนำรัฐบาลแอบแทงข้างหลัง หรือสมคบคิดจับมือฝ่ายค้าน เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ส.ส.ในระบบรัฐสภาจะต้องมีระเบียบวินัย ไม่ใช่ฟังคำสั่งพรรคหรือเจ้าของพรรค แต่เคารพมติพรรค เป็นมติที่ ส.ส.ทุกคนมีส่วนร่วม หรือแม้แต่สมาชิกหรือประชาชนก็มีส่วนร่วม
การควบรวบพรรคอาจเป็นทางออกที่ดีอย่างหนึ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาด้านกฎหมายหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 99 บัญญัติว่า “ในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร จะมีการควบรวมพรรคการ เมืองที่มี ส.ส.มิได้” และกฎหมายพรรค การเมืองมาตรา 96 ก็เขียนไว้เหมือนกันทุกตัวอักษร
...
“ในระหว่างอายุของสภาผู้แทน ราษฎร” น่าจะหมายถึงช่วงที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สิ้นอายุ เช่น สภาชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลง ในวันที่ 23 มีนาคม 2566 เหลืออีกเกือบ 8 เดือน จะมีการควบรวมพรรคได้หรือไม่ โดยเฉพาะพรรคที่มี ส.ส. แต่การควบรวมพรรคที่ไม่มี ส.ส. ย่อมสามารถทำได้ ปัญหานี้ตีความได้เอง เพราะไม่ซับซ้อน.