"อานนท์ นำภา" ดักทาง หาก นายกฯ 8 ปี เริ่มนับ ปี 60-62 อ้าง คนไม่ยอมรับ เหน็บ กัน "เเม้ว-ปู" ก็ไม่ได้ ชี้ ต้องประคองไม่ให้ลามถึงเอเปค จับตารอยร้าว "ตู่-ป้อม" การเมืองอาจเปลี่ยนชั่วลัดนิ้วมือ
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 65 นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่า ให้นับหลังจากรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ หรือแม้นับตั้งแต่ปี 2562 ไป มันจะมีปัญหา คือ เจตนารมณ์ของผู้ร่างต้องการ จะกันกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งออก ถ้าคุณไปเริ่มนับใหม่ คุณจะกันนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ได้นะ เผลอๆ กันนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ ก็กันไม่ได้ ทั้งนี้ ตนมองว่า เขาคงไม่แฮปปี้กับการจะเปลี่ยนขั้วอำนาจ โดยไปตีความรัฐธรรมนูญที่สุ่มเสี่ยงจะเอาอีกฝ่ายขึ้นมา ตัวรัฐธรรมนูญมันชัดเจนอยู่ ว่า ระยะเวลานั้นนับไม่ได้นับเเบบกฎหมายอาญา เคยตีความเป็นบรรทัดฐานไว้ ตอนยุบพรรคไทยรักไทยแล้ว ถ้าจะไปแถให้สุด ไปเริ่มนับ 2562 ไม่เป็นที่ยอมรับแน่ๆ นับปี 2560 คนก็ไม่พอใจ เรื่องของกฎหมายก็ให้เป็นหน้าที่ศาล แต่ทางมวลชนและประชาชนทั่วไปคือ 8 ปี ก็คือ 8 ปี เราอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ มา เราคงไม่ได้แฮปปี้หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปต่อ และต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า ให้ไปต่อได้ ตนคิดว่า นายกฯ คนต่อไป ก็ไม่น่าใช่ พล.อ.ประยุทธ์
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนทีมกฎหมายของพล.อ.ประยุทธ์ จะสู้ยื่นคำชี้แจงไป 20 หน้าต่อศาลรธน. ยืนยัน ไม่นับตั้งแต่ 24 ส.ค. 2557 นายอานนท์ ตอบว่า อารมณ์คน จะถูกผ่อนคลายในเงื่อนไขการเลือกตั้งกลางปีหน้า 2566 ต่อให้วินิจฉัยว่า ให้พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อ คนก็อาจจะคิดว่า กลางปีหน้าก็จะเลือกตั้งใหม่แล้ว เราไม่ควรออกไป แต่ตนคิดว่า อารมณ์คนมันมีแน่ แต่ความเดือดดาลถึงขนาดลุกขึ้นมาแล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อาจไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซง ถ้าคนไม่พอใจเขาก็ออกมาไล่ แต่ก็ต้องดื่มน้ำเย็นกัน ตั้งสติให้ดีๆ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สังคมจะต้องมีวุฒิภาวะ คือไม่เห็นด้วยก็ต้องด่ากัน แต่ไม่นำไปสู่จุดที่นำไปสู่ความไม่สงบโดยไม่จำเป็น
...
เมื่อถามว่า หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นคุณ กับพล.อ.ประยุทธ์ สถานการณ์จะลามไปถึงช่วงการจัดประชุมเอเปค หรือไม่ นายอานนท์ ตอบว่า ต้องช่วยกันประคองสถานการณ์ไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรง ความวุ่นวายโดยสภาพการชุมนุม มันคงไม่ใช่การไปนั่งพับเพียบกัน แต่ความรุนแรงที่มันไม่สามารถควบคุมได้ สังคมไทยมีประวัติศาสตร์มาหลายครั้ง ซึ่งก็มีโอกาสที่จะวนกลับไปที่เดิมได้ แต่คนวันนี้มีวุฒิภาวะมากขึ้นแม้แต่น้องๆ หลายกลุ่มหลายคนที่อยู่ฝ่ายราษฎร ก็ปักหลักในแนวสันติวิธีอย่างที่เห็น การที่ยังรักษาเพดานอยู่ แค่เรื่องที่เป็นอยู่ ตนคิดว่า ทุกคนมีวุฒิภาวะและก็ต้องเคารพกัน คิดว่า สถานการณ์มันบีบบังคับให้ทุกฝ่ายต้องเลือกทำอะไรบางอย่าง ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร รวมถึงฝ่ายชนชั้นนำไทย เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่ คนในสังคมจำนวนมาก เริ่มตั้งคำถาม เริ่มใช้วัฒนธรรมการเมืองทางสังคม ตอบโต้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับ
เมื่อถามว่า ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร นั้น แตกกันจริงไหม หรือสื่อตีความไปเอง นายอานนท์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร หมายถึงองคาพยพของสองคนทั้งทหาร กลุ่มทุนเบื้องหลังด้วย การเมืองเปลี่ยนได้ชั่วลัดนิ้วมือ ไม่ใช่ชั่วข้ามคืน นั่งกินข้าวเสร็จแล้วก็อาจเป็นอีกแบบหนึ่ง การรักษาประโยชน์ของกลุ่มตัวเองอาจทำให้นักการเมือง หรือทหาร อาจจะเลือกทำอะไรบางอย่าง ตนไม่เชื่อว่า ใครมันจะรักกันขนาดนั้น ผัวเมียยังทะเลาะกัน พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ก็มีอะไรที่ขัดกันหลายอย่าง อาทิ ตอนปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย เราเห็นรอยร้าวอยู่ การตั้งพรรคใหม่ของเครือข่ายจาก พปชร.ก็คือรอยร้าว การเมืองมันเปลี่ยนได้เสมอต้องจับตาดู.