“พีระพันธุ์” เผย ประชาชนร้องเรียนผ่านศูนย์ 1111 เรื่องเกี่ยวกับการประกอบอาชีพมากที่สุด มุ่งปลดล็อกแก้กฎหมายคลุมเครือ ต้องมองจากกลุ่มประชาชน เศรษฐกิจฐานราก

วันที่ 2 ก.ย. 2565 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงงานที่ได้รับมอบหมายล่าสุดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราวตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ แก้ไขปัญหาร้องเรียนต่างๆ ของประชาชนที่ส่งผ่านศูนย์ร้องเรียน 1111 สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว และแก้ปัญหาให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม

ทั้งนี้ การประชุมของคณะกรรมการตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มีปัญหาที่ได้รับการแก้ไขไปแล้วหลายเรื่อง อาทิ การความเดือดร้อนเรื่องสัญญาค่าเช่าแผงค้าในตลาดของการการเคหะแห่งชาติ, ปัญหาแรงงานของกลุ่มชาวประมงและการถูกแจ้งข้อหาเกี่ยวกับกฎหมายการประมงจนทำให้ไม่สามารถออกเรือหาปลาได้ หรือการให้ความช่วยเลือกผู้ด้อยโอกาส คนยากจน คนพิการ ได้รับความเป็นธรรมด้านการทำมาหากิน และการประกอบอาชีพ การคลี่คลายปัญหาต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง จนปัจจุบันมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อเข้ามาเพื่อยื่นหนังสือขอรับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“คนเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็ต้องการความช่วยเหลือ เราต้องคิดว่าถ้าเป็นเรา เราก็ต้องการให้ปัญหาของเราถูกแก้ไข แต่บางทีเขาไม่สามารถที่จะมองหาคนช่วยได้ มีทางไหนที่พอจะเห็นทางออกว่าช่วยเขาได้ ถ้าเราสามารถช่วยได้ก็ควรทำอย่างเต็มที่”

...

ส่วนเรื่องร้องเรียนของประชาชนส่วนใหญ่เป็นปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดจากการติดขัดทางข้อกฎหมายส่งผลต่อการประกอบอาชีพ และเรื่องแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเมื่อข้อกฎหมายไม่ชัดเจน ทำให้การกำหนดข้อปฏิบัติไม่ถูกต้องกลายเป็นปัญหาซับซ้อนอื่นๆ ตามมาเป็นงูกินหาง โดยคนที่ไม่รู้กฎหมายไม่ได้มีเพียงประชาชน แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ต้องรักษากฎหมายก็ไม่รู้เช่นกัน บางคนไม่รู้แม้กระทั่งกฎหมายที่ตัวเองถืออยู่ ทำให้ตีความไปเรื่อยจนประชาชนเดือดร้อน ทั้งที่บางกรณีประชาชนไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ต้องมาติดล็อกกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตีความไปเอง จึงเห็นว่าควรจะแก้ไขกฎหมายที่ไม่ชัดเจนอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมือง

“สิ่งที่ต้องทำก็คือการเขียนกฎหมายจะต้องมีความชัดเจนในตัวบท และถ้อยคำที่ใช้ เช่น กรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องข้อกำหนดของเภสัชกรในร้านขายยา ในกฎหมายเขียนว่าหน้าที่ของเภสัชกรมีหน้าที่ “ขายส่งยา” นี่แปลว่าอะไร คนที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่าขายส่ง หรือขายปลีก เพราะภาษาแบบนี้ถ้าบอกว่าขายส่งอาจจะเป็นการขายเยอะ แต่จริงๆ หมายความว่าการขายและการส่งมอบยา ดังนั้นเวลาไปปฏิบัติก็เกิดปัญหา หรือกรณีของชาวประมง มาตรา 57 ตามพระราชกำหนดประมงที่บอกว่า ในการจับสัตว์น้ำต้องไม่มีปลาขนาดเล็กติดมาเลย แล้วใครจะไปคัดเลือกตอนลากมา การเขียนแบบนี้ทำให้เกิดปัญหา ทุกอย่างจึงกลายเป็นว่าไปอยู่ในอำนาจดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ดีก็ดีไป เจ้าหน้าที่ไม่ดีใช้ดุลยพินิจที่กลั่นแกล้งชาวบ้าน ทำให้เกิดความเดือดร้อน ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบได้อีก”

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังเชื่อว่าการที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีความสมดุลกันระหว่างการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามกฎหมายกับคนที่จะถูกบังคับการใช้กฎหมาย ให้มีความถูกต้อง เสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่งการจะแก้ไขใช้เวลามากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล แต่ส่วนตัวในหลายปัญหาของประชาชนที่แก้ไขได้อย่างรวดเร็วมาจากประสบการณ์ที่ทำงานมาและใช้หลักเกณฑ์ทางกฎหมายเป็นหลัก เพราะมั่นใจว่าต้องใช้หลักของกฎหมายนำ

ในฐานะประธานการทำงานในคณะกรรมการชุดนี้ สิ่งที่ได้เห็นชัดเจนมาตลอดคือ ปัญหาเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจของประชาชน ที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ส่วนใหญ่เชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับกฎหมายทั้งสิ้น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด หรือสงคราม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาทีมเศรษฐกิจไหนมาแก้ เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งโลก ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ ทำอย่างไรที่จะช่วยให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มฐานราก คนหาเช้ากินค่ำ ได้มีโอกาสทำมาหากินผ่านช่วงนี้ไปได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะปลดล็อกเงื่อนไขกฎหมายหลายอย่างที่จำกัดเขาไว้ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีและยังมีหลักเกณฑ์กฎหมายมาบังคับปิดกั้น เท่ากับเป็นการซ้ำเติมให้พวกเขาใช้ชีวิตยากขึ้นไปอีก

“ผมเชื่อว่าคิดว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสำคัญคือต้องแก้ที่ระดับชาวบ้านก่อน ให้เขาไปได้ ปัญหาอะไรที่ติดล็อกในเรื่องเงื่อนไขกฎหมายก็ต้องกำจัดออกไป เพื่อให้เขาเดินหน้ากันไปได้ ไม่ใช่การมองที่ภาพเศรษฐกิจใหญ่ๆ ลงมา แต่เราต้องมองจากกลุ่มประชาชน เศรษฐกิจเล็กๆ เหล่านี้ เพราะถือว่าถ้าฐานแข็งแรง เศรษฐกิจระดับใหญ่ขึ้นก็จะแข็งแรงไปด้วย”.