"หมออุดม" เผย จ่อเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ต.ค. เล็งใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ คุมโควิด-19 แทน ส่วน ศบค.หายไปตามกฎหมาย พร้อมเตรียมแผนเรื่องยา-วัคซีน ก่อนเข้าสู่โรคประจำถิ่น
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 ส.ค. 65 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวก่อนการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ถึงการพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังในวันที่ 1 ต.ค. จะต้องยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยหรือไม่ ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยกเลิกแน่นอน
โดยเบื้องต้นเรื่องนี้ได้มีการหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. ก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเบาลง และหากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 1 ต.ค. ศบค.ก็ต้องหายไปด้วย และอาจนำ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กลับมาปัดฝุ่นใช้ เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งและตั้งให้มีหน่วยงานคล้ายกับ ศบค. เป็นหน่วยงานในการช่วยประสานงาน โดยอาจมีการปรับมาเป็นรูปแบบของคณะกรรมการร่วม แต่ข้อสรุปจะต้องรอการประชุมก่อนครบกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 30 ก.ย.นี้อีกครั้ง แต่แนวโน้มคงจะยกเลิก ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศและการเดินหน้าของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อมีคนไข้ในระบบประมาณ 2,000 คน และคนไข้ที่ตรวจพบจาก ATK อยู่ในระบบวันละประมาณ 30,000 คน และนอกระบบ 1-2 เท่าต่อวัน โดยภาพรวมผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 60,000-70,000 คน และคงที่มาประมาณเกือบเดือน จึงคาดการณ์ว่าอาจจะคงอยู่อีก 1 เดือน และหลังวันที่ 1 ต.ค.น่าจะเริ่มลดลง และคนไข้ที่เข้าโรงพยาบาลน่าจะต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน ถ้าเป็นตัวเลขนี้จะเสียชีวิตประมาณวันละ 10 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ที่จะกลายเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ส่วนการจะเป็นโรคประจำถิ่นจะดูไปอีกสักระยะ
...

นพ.อุดม กล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมในวันนี้จะพิจารณากรอบนโยบายและแผนดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โรคประจำถิ่น เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค.เป็นต้นไป สิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่องใหญ่ คือ เตรียมการให้คนไข้เข้าถึงบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเวลานี้ยังมีเสียงบ่นจากคนไข้ในการพบหมอและรับยา และขอยืนยันว่า เรื่องยาไม่ต้องกังวลยังมีเหลือเพียงพอ ทั้งฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ แต่ปัญหา คือ เรื่องบริหารจัดการบางที่ คนไข้มากน้อยต่างกัน และจากนี้จะให้คนไข้รับยาที่ร้านยาในเครือข่ายได้อีกทางหนึ่ง และขณะนี้ 3 กองทุนหลักร่วมเอกชน จัดทำ 3 แอปพลิเคชัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงในกรณีติดเชื้อได้ครอบคลุมทั้งประเทศ คนไข้สามารถเจอแพทย์และรับยาโดยมีบริการส่งถึงบ้านให้เกิดความสะดวก
และเรื่องที่ 2 คือ วัคซีนที่ต้องทำความเข้าใจว่า ยังต้องฉีดเข็ม 3 และ4 เพราะเชื้อ BA.4 และ BA.5 ยังมีความรุนแรง แต่วัคซีนทำให้เกิดภูมิ ดังนั้นควรฉีดเข็มกระตุ้น และขอย้ำว่า ไม่ติดดีที่สุด เพราะการติดยังสามารถตายได้ถ้ามีความเสี่ยงและจะมีอาการลองโควิด ซึ่งที่เสียชีวิต ปัจจุบัน 60 เปอร์เซ็นต์ไม่ฉีดวัคซีน ส่วนเข็ม 5-6 ขอให้บุคคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นบุคคลากรด่านหน้า บุคคลทั่วไปยังไม่แนะนำ ขอย้ำว่า ประชาชนยังต้องป้องกันตัวเอง โดยการสวมหน้ากากอนามัยยังจำเป็นที่สุด ล้างมือให้บ่อย และเว้นระยะห่าง รวมถึงการปฏิบัติตัวป้องกันโรคแบบครอบจักรวาล.