“ชลน่าน” นำ 171 ชื่อ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านส่งถึงมือ “ชวน” ยื่นศาล รธน.วินิจฉัยปม 8 ปี “บิ๊กตู่” เน้นตีความจำกัดอำนาจไม่เกิน 8 ปี กกต.แพร่ระเบียบ 7 ข้อห้าม ครม.รักษาการ “สมชัย” สงสัย ปธ.กกต.ลงนามเมื่อปี 63 ทำไมมาประกาศเอาตอนนี้ จุดกระแสยุบสภาลือสะพัด “บิ๊กตู่” ชิงส่งโฆษก รบ.สยบข่าวยุบสภา “วิษณุ” สารภาพ ดึงเรื่องไว้เอง อ้างกลัวคนแตกตื่น “บิ๊กบี้” ไม่สนรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว หน้าที่ใครหน้าที่มัน “ทักษิณ” เผย ไม่คุยกับ “บิ๊กป้อม” นานแล้ว “ศรีสุวรรณ” ชง ป.ป.ช.ฟันก๊วนล่มประชุม “มาดามเดียร์” ย้ำเอือมสภาล่ม เลือด ปชป.ไหลไม่หยุด “กำนันบอย” ชิ่งหนีอีกราย สภาถก พ.ร.บ.งบฯวาระ 2 ฝ่ายค้านรุมฉะจัดสนองผลการเมือง
ปมปัญหาวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเข้าสู่ช่วงชี้เป็นชี้ตาย เมื่อ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน171คน เข้าชื่อยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในคำร้องเน้นตีความจำกัดอำนาจต้องไม่เกิน 8 ปี

...
171 ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นตีความ 8 ปี
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่รัฐสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นพ.ชลน่านแถลงว่า ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าชื่อ 171 คน ยื่นต่อประธานสภาฯส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกฯเกินกว่า 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 2 และมาตรา 158 วรรค 4 หรือไม่
เน้นตีความจำกัดอำนาจเกิน 8 ปี
สำหรับสาระสำคัญในคำร้องประกอบด้วย 1.การดำรงตำแหน่งนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มวันที่ 24 ส.ค.2557 ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องถึงปัจจุบัน 2.รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 2 มาตรา 158 วรรค 4 และมาตรา 264 ห้ามนายกฯดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ให้นับระยะเวลาต่อเนื่อง มิได้กำหนดชัดแจ้งต้องเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญนี้เท่านั้น 3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2561 และ 7/2562 กรณีมาตรา 264 ให้รัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องอยู่ในบังคับรัฐธรรมนูญปี 2560 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 และ 24/2564 เรื่องการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังทำได้ หากมิใช่โทษทางอาญา 4.เจตนารมณ์การจำกัดระยะเวลาดำรง ตำแหน่งนายกฯ ตามมาตรา 158 วรรค 4
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวว่า จะไปตรวจสอบคำร้องว่ามีรายชื่อ ส.ส.ครบถ้วน 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ หรือ 48 คน หรือไม่ จากนั้นคงส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองที่ กกต.ส่งความเห็นกลับมาระบุว่าไม่ข้องใจ ต้องชะลอร่างเอาไว้ก่อน 3 วัน เพื่อดูว่าจะมี ส.ส.เข้าชื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
มั่นใจศาล รธน.จะเร่งวินิจฉัย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ว่า สภาฯคงใช้เวลาตรวจสอบความถูกต้องรายชื่อ ส.ส. 1-2 วัน คาดว่าวันที่ 22 ส.ค. จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ส่วนถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้ตรวจสอบจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับศาลจะสั่งว่าอย่างไร แต่มั่นใจว่าศาลจะรับไว้พิจารณา และคงเร่งกระบวนการวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องสำคัญ การที่นักวิชาการด้านกฎหมายบางคนระบุว่าการนับวาระดำรงตำแหน่งนายกฯจะนับย้อนหลังตั้งแต่ปี 2557 ในทางเป็นโทษไม่ได้นั้น อยู่ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจ แต่การนับย้อนหลังต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพประชาชนเท่านั้น มั่นใจศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาประกอบการวินิจฉัย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้อยู่ยาว
ห่วงใช้วิธีรักษาการยื้ออยู่ยาว
นพ.ชลน่านกล่าวอีกว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯพ้นวาระ 8 ปี วันที่ 23 ส.ค. คนที่รักษาการนายกฯยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะรักษาการได้ต่อเมื่อศาลสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนจะมีคำวินิจฉัยออกมา หาก พล.อ.ประยุทธ์พ้นตำแหน่งในวันที่ 23 ส.ค. มีความเป็นไปได้ที่จะใช้วิธีรักษาการต่อไปเรื่อยๆจนใกล้ครบวาระเดือน มี.ค.2566 หากรัฐสภายังไม่สามารถเลือกนายกฯได้ ไม่ว่านายกฯในบัญชีหรือนายกฯคนนอก ก็มีสิทธิรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกฯใหม่เข้ามา เพราะรัฐธรรมนูญไม่กำหนดเงื่อนเวลาต้องเลือกนายกฯคนใหม่ให้ได้ภายในกี่วัน และกรณีเป็นนายกฯรักษาการ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเหมือนนายกฯปกติ ทั้งการอนุมัติงบประมาณ การแต่งตั้งโยกย้าย
อย่าชิงยุบสภาก่อสุญญากาศ
นพ.ชลน่านกล่าวว่า ส่วนกระแสข่าวอาจชิงยุบสภาฯก่อนวันที่ 23 ส.ค.สามารถทำได้ แต่เหตุผลการยุบสภาฯต้องเกิดข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายสภาฯ ขณะนี้ไม่มีความขัดแย้งสภาฯไม่มีความผิดใดๆ การอ้างยุบสภาฯคงยาก ถ้ายุบก่อนวันที่ 23 ส.ค. จะไม่มีกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายค้างไปต่อไม่ได้ ยกเว้นแต่ได้ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขึ้นทูลเกล้าฯไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ทูลเกล้าฯ ถ้ายุบสภาตอนนี้ไม่มีกฎหมายเลือกตั้ง เข้าสู่สุญญากาศนายกฯอยู่ยาว แต่ไปเสริมแรงต้านประชาชนให้หนักขึ้น นายกฯคงไม่กล้าทำ และภาวนาว่าอย่าทำ
กกต.วาง 7 ข้อห้าม ครม.รักษาการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา แพร่ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ.2563 ระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้กรณีที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะเหตุอายุสภาฯสิ้นสุด หรือมีการยุบสภาฯ ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเงื่อนไข จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ และให้ กกต. วางระเบียบเกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. ขณะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.ในระหว่างที่อายุสภาฯสิ้นสุดลง ต้องไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง 7 ข้อ ประกอบด้วย 1.การใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ ในลักษณะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมในการเลือกตั้ง 2.จัดให้มีการประชุม ครม.นอกสถานที่
ห้ามใช้ทรัพยากรรัฐเอาเปรียบ
3.กำหนด สั่งการ หรือมอบหมายให้มีการประชุม อบรม หรือสัมมนาบุคลากรของรัฐหรือเอกชน โดยใช้เงินงบประมาณของหน่วยงานรัฐ หรือเงินของกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ 4.กำหนด สั่งการ หรือมอบหมายให้มีการอนุมัติ โอน หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ 5.กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการแจกจ่าย หรือจัดสรรทรัพยากรของรัฐให้แก่บุคคลหนึ่ง บุคคลใด โดยไม่มีเหตุอันสมควร 6.ใช้พัสดุหรือเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากหน่วยงานรัฐ และ 7.ใช้ทรัพยากรของรัฐ เช่น คลื่นความถี่ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง หรือใช้งบประมาณด้านการ ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ที่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมในการเลือกตั้ง

“สมชัย” สงสัยประกาศตอนนี้มีนัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระเบียบ กกต.ฉบับดังกล่าว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ลงนามในประกาศตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2563 แต่สาระสำคัญในข้อ 2 ระบุว่าให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เท่ากับว่าระเบียบฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.2565
ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย มีแต่เสียงปี่ เสียงกลอง อยู่ดีๆ กกต.ก็ควักระเบียบ กกต. ที่ห้ามรัฐมนตรีใช้ทรัพยากรของรัฐในระหว่างยุบสภาฯ หรือในช่วงที่สภาฯครบวาระ และ ครม.เป็น ครม. รักษาการ ว่าห้ามทำอะไรในช่วงดังกล่าวบ้างออกมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาประธาน กกต. ลงนามตั้งแต่ 28 ต.ค.2563 ราชกิจจานุเบกษาเพิ่งนำมาลง 15 ส.ค.2565”
“บิ๊กตู่” สยบข่าวไม่มียุบสภา
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 4/2565 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หลังการประชุมผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงกระแสข่าวการยุบสภา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นมอบหมายให้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตอบคำถามแทนว่า พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่มีการยุบสภา จะเดินหน้าทำงานให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
อึกอัก กกต.ส่งสัญญาณแปล่งๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการวิเคราะห์กันหรือไม่ว่าทำไม กกต.ถึงเผยแพร่ระเบียบ ห้ามรัฐบาลรักษาการใช้ทรัพยากรของรัฐที่จะมีผลต่อการเลือกตั้งในช่วงนี้พอดี นายธนกรตอบว่า ตอบแทน กกต.ไม่ได้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงเพิ่งประกาศใช้ระเบียบฯฉบับดังกล่าว แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่การเตรียมพร้อมหากเกิดอุบัติเหตุการเมืองแต่อย่างใด เมื่อถามย้ำว่ามีคนสงสัยว่าออกมาในช่วงใกล้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาปมวาระ 8 ปี เป็นการส่งสัญญาณยุบสภา นายธนกรตอบว่า คงไม่ใช่ นายกฯยืนยันไม่มีการยุบสภา คงเป็นมุมมองที่หลากหลาย นายกฯไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจ ท่านย้ำว่าไม่มียุบสภาอะไรทั้งนั้น
“วิษณุ” สารภาพดึงเรื่องไว้เอง
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าระเบียบของ กกต.ที่เพิ่งประกาศออกมา กกต.ส่งมาถึงทำเนียบรัฐบาลเมื่อเดือน ก.พ.2564 แต่ตนให้ กกต.กลับไปแก้ไขอีกเล็กน้อย เมื่อปรับแก้แล้วส่งกลับมาทำเนียบรัฐบาล แต่ตนยังไม่ให้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้าให้ประกาศตอนนั้นจะเหมือนกับตอนนี้ที่เกิดความแตกตื่นว่าจะเกิดการเลือกตั้งกันแล้ว ความเป็นจริงไม่เกี่ยวอะไรกัน มาถึงตอนนี้คิดว่าได้เวลาพอสมควรที่ต้องประกาศแล้ว เพราะจากนี้ไปจนถึงเดือน มี.ค.2566 สภาฯจะหมดวาระ เหลือเวลาอีก 6-7 เดือน ตอนนี้ก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ที่สภากำลังจะครบเทอม เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีนัยทางการเมืองจะมีการยุบสภา นายวิษณุตอบว่า ไม่มี คิดอยู่แล้วว่าจะคิดกันอย่างนี้และไม่เกี่ยวกับปม 8 ปีของนายกฯ
“สุพัฒนพงษ์” ลั่นเก้าอี้ไม่มีสั่น
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนตัว รมว.พลังงาน ว่า ไม่ทราบ ยังทำหน้าที่ต่อไป ปัญหาหน้างานมีเยอะอยู่แล้ว เช่น วิกฤติพลังงาน รวมถึงปัญหาในอนาคตที่ต้องดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะช่วงประชุมเอเปกจะมีนักธุรกิจเข้ามาจำนวนมาก เราต้องทำงานเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เขาสนใจจะได้มาลงทุน เมื่อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในทางลบปม 8 ปีนายกฯจะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ตอบว่า ยังไม่ได้เตรียมแผนอะไรไว้ เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามปกติ เพราะงานทุกอย่างขับเคลื่อนโดยข้าราชการประจำ และทีมงานที่มีอยู่ เรื่อง 8 ปีว่าไปตามกฎหมาย และนายกฯไม่ได้มีการฝากฝังอะไร ท่านทำงานปกติยังให้นโยบายติดตามความสำคัญของงาน เพื่อแก้ วิกฤติต่างๆ

“เสี่ยหนู” ชี้ยังไม่ได้ซิกยุบสภา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าวยุบสภาหลัง กกต.ออกระเบียบของ ครม.รักษาการออกมาว่า ไม่ว่าจะยุบหรือไม่ยุบสภาก็อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของสภาฯอยู่แล้ว ครม.ต้องรู้ว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ แต่นายกฯยังไม่ส่งอาการหรือสัญญาณยุบสภา อำนาจยุบสภาเป็นของนายกฯผู้เดียว ไม่ต้องปรึกษาหรือขอมติจากใคร ท่านไม่แคร์ใคร นี่คือความเป็นนายกฯ ถ้าวุ่นวายก็ยุบสภา ขณะนี้ทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างลงพื้นที่ เมื่อถามว่านายอนุทินมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯที่อาจมาแทน พล.อ.ประยุทธ์ นายอนุทินตอบว่า “พูดแบบนี้พูดให้หาเรื่อง ชื่อผมอยู่ในบัญชีนายกฯพรรคภูมิใจไทยมา 4 ปี ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หากมีอุบัติเหตุการเมืองอะไรต้องพร้อม ยุบสภาก็เลือกตั้ง”
“บิ๊กบี้” ไม่สนรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว
ที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองหลังวันที่ 23 ส.ค.ว่า ยังไม่ทราบว่าจะเป็นเช่นไร แต่อย่าไปคาดการณ์ในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่รู้ เมื่อถามว่าอาจมีม็อบออกมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ตอบว่า อย่าไปคาดการณ์ อย่าไปส่งเสริมอย่าไปให้ข้อมูล ต้องพยายามให้ทุกคนตั้งสติให้ดีว่าเราต้องการอะไร ประเทศต้องการอะไร คือต้องการความสงบสุขเรียบร้อย เพื่อทำมาค้าขาย ทุกคนอยู่ดีมีสุขและร่มเย็นเป็นสุข เมื่อถามย้ำว่าหากหลังเลือกตั้งมีการเปลี่ยนรัฐบาล หรือเปลี่ยนตัวนายกฯจะไม่มีอะไรใช่หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ตอบว่า ไม่มี ทุกคนทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อถามย้ำว่าถ้ามีการเปลี่ยนขั้วการเมืองไปเป็นฝั่งเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล พล.อ.ณรงค์พันธ์ตอบว่า ทุกคนต้องทำตามหน้าที่ พร้อมนำมือชี้ไปที่หัวและตบที่หน้าอกซ้ายกล่าวว่า “ให้คิดถึงประชาชน คิดถึงประเทศชาติให้มากที่สุด”
“ทักษิณ” ไม่คุย “บิ๊กป้อม” นานแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในเฟซบุ๊ก CARE แคร์ คิด เคลื่อน ไทย วิเคราะห์ “พายุการเมืองไทย หลัง 8 ปี ประยุทธ์” ว่า มีกระแสข่าวว่าตนไปตกลงจับมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค พปชร. จัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งนั้น ไม่รู้จะดีลทำไม ดีลกับตนไม่มีประโยชน์ ตั้งแต่มาอยู่ต่างประเทศไม่เคยคุยกับ พล.อ.ประวิตรเลย บังเอิญว่าพลังประชารัฐอยากได้สูตรหาร 100 ตรงกันจึงถูกมองว่าเป็นการรวมพลังกัน จบที่สูตรหาร 100 ก็ถูกต้องแล้วอย่าคิดอะไรมาก เพราะท้ายที่สุดประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เท่าที่ดูคาดว่าเลือกตั้งหน้าพรรคเพื่อไทยได้เกิน 250 เสียง วันนี้ฝั่งประชาธิปไตยเกิน 300 เสียงสบายๆ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยหาเสียงได้ดี และไม่เชื่อว่าพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์แน่
จวก “ตู่” เสพติดอำนาจทำเสื่อม
นายทักษิณยังกล่าวอีกว่า ขอเดาว่ารอบหน้าจะมีพรรคฝั่งเผด็จการอย่างน้อย 1 พรรค ข้ามฟากมารวมกับพรรคฝั่งประชาธิปไตยแน่นอน คือพรรคชาติไทยพัฒนา ขณะที่ประเด็น 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่จบปริญญาเอกทางด้านกระบวนยุติธรรมทางอาญาปรัชญาว่าด้วยการบริหารงานยุติธรรม คำว่า 8 ปี ผู้ร่างคงมองเห็นหน้าตนตลอด ทำอย่างไรเพื่อสกัดตรงนั้นตรงนี้ วันนี้ประชาชนไม่นิยมแล้วยังไม่ยอมเลิก หากศาลรัฐธรรมนูญตีความให้อยู่ต่อ ศาลเองก็เสื่อม นายกฯก็เสื่อม ความเคารพนับถือมันหมด ที่บอกว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง แต่เล่นงานตนแต่ละเรื่องย้อนหลังทั้งนั้น “ผมคิดว่าวันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ กระแสคนรุ่นใหม่ ไม่เอื้อให้เกิดรัฐประหารแล้ว วันนี้ไม่เหมือนวันวาน การทำรัฐประหารจะไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่เอาปืนตั้ง มันไม่ง่ายแล้ว จิตสำนึกทหารรุ่นใหม่เขาก็รู้ว่าบ้านเมืองช้ำมานาน แล้วรู้ขีดความสามารถว่าการบริหารประเทศ เทคโนโลยีอะไรที่ไปเร็ว ทหารถูกจำกัดความคิดให้แคบ ไม่สามารถมองโลกกว้าง ขืนบริหารก็เจ๊งอีก”

“ระวี” ระดมล่าชื่อ ส.ส.-ส.ว.
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า คงต้องติดตามดูการเมืองหลังวันตัดสินนายกฯครบ 8 ปี วันที่ 24 ส.ค.นี้ ดีลลับที่หลายคนพูดถึงจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ การที่ ส.ส.พรรคพลัง ประชารัฐจำนวนมากไม่เข้าร่วมประชุมรัฐสภา จนทำให้สภาฯล่ม ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ เกิดข้อกังขาว่าพลังประชารัฐได้ประโยชน์อะไรจากสูตรนี้ คำตอบนี้ยังไม่มี แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคนไทยคงได้รู้ความจริง เมื่อถามถึงการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างหาร 100 นพ.ระวีตอบว่า ต้องใช้เสียง ส.ส.และ ส.ว. 73 เสียง ดังนั้น ต้องรวบรวมรายชื่อ ส.ส.ให้ได้ 80 เสียง ขณะนี้ร่างหนังสือไว้แล้ว
ร้อง ป.ป.ช.ฟันก๊วนล่มประชุม
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนเอาผิดสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. 375 คน ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่เข้าร่วม ประชุมรัฐสภา หรือไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ทำให้รัฐเสียงบประมาณแผ่นดินที่เป็นภาษีประชาชนจำนวนไม่น้อย ทำให้รัฐเสียหาย เข้าข่ายความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเอาผิด

“มาดามเดียร์” ย้ำเอือมสภาล่ม
ช่วงบ่ายที่รัฐสภา น.ส.วทันยา บุนนาค หรือมาดามเดียร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. แถลงว่าได้ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯแล้ว ส่วนกรณีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ระบุว่าการลาออกของตนไม่เกี่ยวกับสภาฯล่ม เป็นการพูดที่นำนิสัยที่คุ้นชินของตัวเองมาตัดสินบุคคลอื่นอาจไม่ถูกต้อง สภาฯล่มซ้ำซากเพราะเล่นเกมการเมือง ประชาชนรับรู้ว่านักการเมืองเล่นเกมไม่สนใจประชาชนยอมรับไม่ได้ ไม่อยากให้เลือกการไม่เข้าร่วมประชุมเป็นบรรทัดฐานใหม่ในสังคม ขณะนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องพรรคใหม่ ขอใช้เวลาไตร่ตรองอยากดูให้เหมาะมากที่สุด ย้ายบ้านไม่อยากย้ายบ่อยๆ แต่ยืนยันเดินต่อในเส้นทางการเมืองแน่นอน
“พนิต” ชมเปาะรอรับเข้า ปชป.
นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ขอชื่นชม น.ส.วทันยา บุนนาค หรือมาดามเดียร์ ที่ลาออกจากการเป็น ส.ส. และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ สะท้อนถึงความกล้า และแสดงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่และประชาชน สภาฯล่ม 3 ครั้งติดต่อกัน ตลอด 3 ปีครึ่งมานี้สภาฯล่มมาแล้ว 18 ครั้ง การเมืองที่ดีต้องสู้กันในสภาฯ บ่อยครั้งที่ น.ส.วทันยาแสดงจุดยืนเป็นตัวของตัวเอง ทำหน้าที่เพื่อประชาชน นี่คือ ส.ส.นํ้าดี ที่สภาควรมี มีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายครั้ง หวังว่าจะไม่วางมือจากการเมือง “จากกระแสข่าวที่ทราบมาว่า น.ส.วทันยาจะมาทำงานกับประชาธิปัตย์ ขออนุญาตพูดในนามของ ส.ส.ประชาธิปัตย์ว่าเรายินดีต้อนรับ จะได้ร่วมมือกันทำการเมืองในสภาฯอย่างสมเกียรติ #ส.ส.หญิงเก่ง”
“กำนันบอย” ชิ่งหนี ปชป.อีกราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา นายปารเมศ โพธารากุล อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต่อนายทะเบียนพรรค สำหรับนายปารเมศ หรือกำนันบอย จัดเป็น 1 ใน 5 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โซนภาคตะวันตกของพรรค ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปทำกิจกรรม “จุรินทร์ออนทัวร์” จัดเป็นว่าที่ผู้สมัครที่พรรคประกาศตั้งเป้าว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายที่ต้องได้ ส่วนสาเหตุการลาออกของนายปารเมศครั้งนี้ เพื่อไปรวมกลุ่มกับสายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ทั้งคู่มีสายสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน โดยนายปารเมศมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของนายชาดา

สภาถกร่าง พ.ร.บ.งบฯวาระ 2
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วาระ2 วงเงิน 3.18 ล้านล้านบาท ก่อนเข้าสู่วาระ นายชวนแจ้งต่อที่ประชุมว่า กกต.ส่งหนังสือแจ้งมายังรัฐสภาว่า ไม่มีข้อทักท้วงร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง แต่ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 104 กำหนดให้ร่างพ.ร.ป.ที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบนั้น ก่อนส่งร่าง พ.ร.ป.ไปยังนายกฯดำเนินการตามมาตรา 81 ของรัฐธรรมนูญ ให้ประธานรัฐสภาชะลอไว้ 3 วันครบกำหนดวันที่ 19 ส.ค. เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาเท่าที่มีอยู่ของ 2 สภาฯ เสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภา ว่าร่างพ.ร.ป.มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และให้ประธานรัฐสภาส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย
“ไอติม” เฉ่งจัดสนองผลการเมือง
จากนั้นเข้าสู่วาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 66 มี ส.ส.หลายคนอภิปรายทักท้วง การจัดงบฯกระจุกตัวเฉพาะบางจังหวัด และจังหวัดของรัฐมนตรี เพื่อผลประโยชน์การเมือง อาทิ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.เสียงข้างน้อย จากพรรคก้าวไกล อภิปรายว่าปัญหาใหญ่ของประเทศไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ใช้งบไม่เป็นธรรมไม่กระจายทุกจังหวัด เช่น โครงการซ่อมถนนปรับปรุงแหล่งน้ำ มีงบฯรวมกันเกิน 50% กระจุกตัวอยู่บางจังหวัด โดยเฉพาะโครงการซ่อมถนนของกรมทางหลวง 7 จังหวัด ได้งบสูงสุดรวมกัน 25% ของงบทั้งประเทศ หรืองบปรับปรุงแหล่งน้ำ กรมชลประทาน มี 7 จังหวัดที่ได้งบสูงถึง 36% ของทั้งประเทศ ไปดูแล้วเป็นพื้นที่ ส.ส.ของพรรคต้นสังกัดของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นการจัดงบที่คำนึงความเดือดร้อนเป็นธรรม หรือจัดบนพื้นฐานผลประโยชน์ตัวเอง
“จิรายุ” ซัดเทกระจาดทิ้งทวน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ขอเสนอตัดงบ 29% เพราะไม่ต้องการให้ไปกู้หนี้เพิ่มอีก สภาพรัฐบาลบักโกรก ไส้แห้ง ตูดขาด เตรียมเก็บกระดูกลอยอังคารเศรษฐกิจไทยได้เลย การจัดงบฯปี 66 ไม่เคยเห็นอะไรน่าเกลียดเท่านี้มาก่อน จัดแบบทิ้งทวน เทกระจาด อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯจัดงบกระจุกตัวเป็นว่าเล่น งบกรมชลประทานไปลงที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มากเป็นพิเศษ กรมการข้าว เดิมเคยได้งบต่อปีที่ 3,000 ล้านบาท ปีนี้พุ่งไปที่ 17,000 ล้านบาท แต่ข้าวไทยกลับสู้เวียดนามไม่ได้ ขณะเดียวกันภารกิจแต่ละกรมมีหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน เช่น กรมชลประทาน กับกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ทำเรื่องน้ำทั้งคู่ กระทรวงพาณิชย์ มีทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 3 กรม มีภารกิจคล้ายกัน หากเป็นเช่นนี้จะปฏิรูปไปเพื่ออะไร จากนั้นที่ประชุมให้ความเห็นชอบมาตรา 4 ด้วยคะแนน 245 ต่อ 107 งดออกเสียง 2
จี้ “ตู่” ช่วย ปชช.อย่าเกรงกลุ่มทุน
อีกเรื่อง นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ประธาน กมธ.พลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ เป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้อัตราค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย รัฐบาลควรเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ที่ทำสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฝผ.) ขอลดราคาช่วยประชาชน นายกฯต้องกล้าทำเพื่อประชาชน อย่าเกรงใจเอกชนเจ้าของโรงไฟฟ้าเสือนอนกิน อย่าเลือกผลักภาระให้ประชาชน ควรต้องเร่งหามาตรการช่วยลดภาระประชาชน
“เต้” แซะเป็นนายกฯต้องมีสมอง
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวว่า ขอให้นายกฯสั่งการ กกพ.ทบทวนยกเลิกการขึ้นค่าไฟโดยด่วน ให้นำเงินกำไรของแต่ละปีของ กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มาเป็นส่วนลดให้ประชาชน ได้กำไรน้อยลงแต่ไม่ได้ขาดทุน หากไม่พอให้นำเงินสะสมของ 3 หน่วยงานนี้ มาจ่ายค่าไฟแทนจนกว่าสถานการณ์เป็นปกติ นายกฯทำได้เพราะเป็นคนแต่งตั้ง กกพ. ถ้าไม่ทำแสดงว่าบริหารแบบรูทีน ผลักภาระไปให้ประชาชน เป็นนายกฯต้องมีสมองด้วย มีนายกฯมาแก้ปัญหาไม่ใช่สร้างปัญหา ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ทำไม่เป็น สมควรกลับไปอยู่บ้านไม่ต้องมาเป็นนายกฯ ไม่ต้องมาตะแบงตีความวาระ 8 ปีอีก
มอบรางวัลบทเพลงเพื่อชาติ
ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อเวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) เป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศการประกวด “บทเพลงเพื่อชาติและราชบัลลังก์” ภายในงานมีการเปิดเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้แต่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า ดนตรีสร้างความบันเทิงรื่นรมย์จรรโลงจิตใจ สร้างความปรองดอง ความรักความสามัคคีให้คนในชาติ วันนี้ลุงแก่ๆมีหนุ่มสาวเด็กๆอยู่ข้างหลัง เราอยู่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่หัวใจ ปาก และสมอง เรารักใครชอบใครอยู่ที่รักด้วยหัวใจ ด้วยสมอง ด้วยปัญญา วันนี้อันตรายโลกขัดแย้ง ต้องรักกันให้ได้มากที่สุด ประเทศไทยไปได้แน่ๆ ฝากไว้ในมือของพวกเราด้วย พูดมาถึงตรงนี้ พล.อ.ประยุทธ์มีน้ำเสียงสั่นเครืออีกครั้งจนต้องก้มหน้าและกล่าวว่า ตนพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความเข้าอกเข้าใจ โอกาสมีอยู่เยอะมาก เราต้องไม่ทำลายโอกาสเท่านั้น