ปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดตัวเป็นทางการกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค เสนอได้ 3 ชื่อ ชง “ประยุทธ์-พีระพันธุ์” ระบุ บิ๊กตู่นั่งนายกฯ 8 ปี พิสูจน์ชัด เรื่อง "ซื่อสัตย์สุจริต" 

วันที่ 3 ส.ค. 65 ที่สโมสรราชพฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายหลังการประชุมใหญ่วิสามัญพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยผู้ได้รับการเลือกตั้งประกอบด้วย หัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการ นายเหรัญญิก นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ นายทะเบียน นายเกรียงยศ สุดลาภา และกรรมการบริหารอื่น ประกอบด้วย นายวิทยา แก้วภราดัย รศ.(พิเศษ) ดร.ดวงฤิทธิ์ เบญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง นายชื่นชอบ คงอุดม, นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร และนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์

...

นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ตนเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะรู้จักกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติมานานแล้ว และยังเป็นญาติกัน จึงได้ตัดสินใจเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะในเรื่องการเมืองนั้นการเชื่อมั่นถือเป็นเรื่องสำคัญและชื่อเสียงของผู้เข้าร่วมพรรคก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งเมื่อดูแล้วสมาชิกพรรคหลายคนก็มีชื่อเสียงและไม่มีความด่างพร้อย ตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่มาให้คำปรึกษา แต่คนที่จะมีบทบาทหลัก คือ นายพีระพันธุ์ และคนรุ่นใหม่ ตนเพียงให้คำแนะนำ อะไรที่จะสุดโต่งไปก็จะคอยดึง อันไหนที่หย่อนก็ช่วยดัน เชื่อว่าพรรคจะเดินหน้าไปได้ และจะมีสมาชิกเข้าร่วมมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมือง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ มา เชื่อว่าจะนำพรรคได้ ทุกคนมีความพร้อมทำงานให้กับประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสนับสนุนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่ นายปองพล กล่าวว่า การที่เราจะสนับสนุนใครต้องดูผลงาน ความพร้อม และดูสถานการณ์ของประเทศไปจนถึงของโลกในปัจจุบัน หากนำรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะเป็นผู้นำของประเทศมาเรียงกันดู ก็จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นมีผลงาน และสถานการณ์โลกในปัจจุบันก็เข้มข้นจึงต้องอาศัยคนที่จะตัดสินใจได้เด็ดขาด ซึ่งระยะเวลา 8 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ซึ่งประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เพราะถ้าไม่มีข้อนั้นคงอยู่ไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแค่ 3 ชื่อ ก็ต้องพูดคุยหารือกันก่อนว่าจะเสนอชื่อใครบ้าง ต้องเลือกดูทั้งผลงาน และพฤติกรรมส่วนตัว.