“ศรีสุวรรณ จรรยา” นำพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏในสื่อ ยื่นร้อง กกต. กรณี ส.ส.รับเงินรายเดือน ขอดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เอาผิด

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ส.ค. 2565 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวนสอบสวนเอาผิด ส.ส. ที่มีหลักฐานยืนยันว่ารับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลอื่น โดยการโอนบัญชีธนาคารผ่านระบบ Internet Banking ของธนาคารนับแสนบาทต่อเดือน โดยสืบเนื่องจากสื่อมวลชนเผยแพร่ข้อมูลจากกรณีไลน์หลุด ซึ่งมีเนื้อหาและภาพที่ระบุให้เห็นว่ามีรายชื่อ ส.ส.พรรคเล็ก เซ็นชื่อรับเงินกันหลายคนจากบุคคลซึ่งไม่ปรากฏชื่อ และมีภาพหลักฐานสลิปการโอนเงินไปยังบุคคลปลายทาง เป็นชื่อของหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กๆ รวมทั้งหัวหน้ากลุ่มการเมือง โดยจ่ายกันเป็นรายเดือน เดือนละ 100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ทั้งนี้ หลักฐานดังกล่าวสามารถบ่งชี้ได้ว่านักการเมืองต่างๆ มีพฤติการณ์การรับเงินกันจริง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นการโอนรับกันเพื่อวัตถุประสงค์ใด หรือเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่างกัน หรือยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่

...

นายศรีสุวรรณ ระบุต่อ นอกจากนั้นยังมีข้อพิรุธว่า ส.ส.บางคนอ้างว่าเงินที่ได้รับโอนมาดังกล่าวนำไปใช้ในการลงพื้นที่ดูแลชาวบ้านนั้น จะถือเป็นรายได้หรือรายรับของพรรคการเมืองตาม มาตรา 62 (5) และหรือ (7) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ และได้มีการประกาศให้ประชาชนทราบตาม มาตรา 65 และหรือได้มีการปฏิบัติตาม มาตรา 67 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ และหรือมีการจัดทำและลงรายการทางบัญชีรายรับ-รายจ่ายของพรรคการเมืองตามมาตรา 59 หรือไม่ แต่หากไม่ใช่ก็อาจถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทันที ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 72 ประกอบมาตรา 126 ของกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเท่าใดก็ได้ขึ้นอยู่กับศาลกำหนด

ที่สำคัญการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 ประกอบมาตรา 92(3) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้อีกด้วย ที่บัญญัติห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

นายศรีสุวรรณ ระบุในช่วงท้ายว่า ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงได้นำพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏในสื่อมาก่อน นำมามอบให้ กกต.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่ออัปเปหิ และหรือเอาผิดเหล่า ส.ส. หรือหัวหน้าพรรคการเมืองตามหลักฐานดังกล่าวต่อไป.