“ประเสริฐ” ส.ส.เพื่อไทย ซัดกลับ “บิ๊กตู่” มีแต่หัว แต่ไม่มีสมอง แฉทุจริตงบกลาง ใช้เวลาแค่ 1 วัน อนุมัติเงินโครงการอบรมปลูกเห็ด-ส่งเสริมสมุนไพรบวกกัญชา 2,051 ล้าน
เวลา 14.27 น. วันที่ 21 ก.ค. 2565 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 3 ข้อกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ในการใช้งบกลางวงเงิน 2,051 ล้านบาท โดยเริ่มกล่าวว่า เสียดายเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ถ้าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีวันนั้นเป็นของพรรคเพื่อไทย บ้านเมืองคงไม่เป็นอย่างนี้ เสียดายโอกาสของประเทศ อีกทั้งวุฒิภาวะของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีความบกพร่อง เช่น กล่าวหาพรรคฝ่ายค้านว่ามีแต่นั่งร้านไม่มีหัว ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด เพราะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ไม่เหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อ้างว่ามีหัว ขอเรียนว่า ท่านมีแต่หัว แต่ไม่มีสมอง
จากนั้นเข้าสู่ประเด็นการอภิปรายว่า ในขณะที่ประชาชนยากลำบาก ประเทศในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ กู้เงินมากเป็นประวัติการณ์ และการใช้งบประมาณต้องเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะงบกลาง ต้องใช้อย่างประหยัด เท่าที่จำเป็น และเกิดประโยชน์สูงสุด แต่กลับอนุมัติงบจำนวนมากหลายโครงการ หลับหูหลับตาอนุมัติให้คนใกล้ชิดเพื่อเป็นการตบรางวัล หาผลประโยชน์บนความทุกข์ของประชาชน พูดเสมอว่าจะปราบปรามการทุจริต แต่กลับมีการโกงกันในที่แจ้งอย่างไม่ละอายใจ โดยใช้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นฉากบังหน้าทุจริตเงินหลายร้อยล้านบาท ซึ่งตามหลักเกณฑ์การอนุมัติงบเกินกว่า 100 ล้านบาท ต้องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อและการจัดจ้าง หากไม่ทำถือว่าขัดมติ ครม. หรือเรียกว่า ฮั้วกันโกง
...
กรณีที่เกิดขึ้นนี้งบ 2,051 ล้านบาท ถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม จนเกิดเงินทอน 1,600 ล้านบาท ข้อพิรุธที่สำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สนใจข้อทักท้วงของสำนักงบประมาณ ว่า โครงการมีความซ้ำซ้อนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นโครงการที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ชื่อโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมและสมุนไพร แท้จริงเป็นการอบรมปลูกเห็ด และยังส่งเสริมการใช้สมุนไพรบวกกับกัญชา ไม่ได้มีนวัตกรรมใหม่อะไร อีกทั้งมีการระบุอบรม 2 วัน อาหาร 4 มื้อ ค่าใช้จ่ายต่อหัว 10,000 บาท โดยผู้อบรมต้องได้ปัจจัยการผลิตประมาณ 7,000 บาทต่อคน แต่จริงๆ อบรมเพียง 4 ชั่วโมง ได้ข้าว 1 กล่อง รายละเอียดหลายจุดพบเห็นความผิดปกติ และหลังจากได้ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบ พบว่าการอบรมของมหาวิทยาลัย 1 ใน 4 แห่งนี้ มีการเปลี่ยนสถานที่อบรมเหมือนกลัวประชาชนจะรู้ ขณะที่เมื่อเชิญทั้ง 4 มหาวิทยาลัยมาสอบถาม ก็ตอบคำถามไม่ได้เลย
นายประเสริฐ สรุปในช่วงท้ายว่า กระบวนการทุจริต แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ระดับนโยบาย มีผู้เกี่ยวข้องคือ พล.อ.ประยุทธ์, นายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน และผู้เกี่ยวข้องในระดับปฏิบัติการอีก 4 คน ทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีนายเสกสกล เป็นผู้ประสาน อย่างไรก็ตาม ตนเองได้ยื่นเรื่องนี้ต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรแล้ว และหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจจะรวบรวมคำร้องส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป
“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยใส่ใจเรื่องการปราบปรามการทุจริต มิหนำซ้ำยังทุจริตต่อหน้าที่ เจตนาเอางบประมาณไปให้พวกพ้องหากินเพื่อผลประโยชน์ เสียดายเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ถ้าได้คนอื่นเป็นนายกฯ ประเทศคงไม่เป็นแบบนี้ ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่อภิปรายมา พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต จงใจกระทำผิดต่อนโยบายการปราบปรามการทุจริตที่แถลงต่อรัฐสภา ทำผิดต่อกฎหมายฮั้ว กฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง ผิดต่อมติ ครม. ในลักษณะบิดผันการใช้อำนาจ ทำให้งบประมาณของแผ่นดินที่ต้องกู้มาในยามที่ประเทศเกิดวิกฤติ เกิดโรคระบาดโควิด-19 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังหาช่องทางการทุจริต โดยเสกสรรปั้นแต่งโครงการที่ไม่ควรจะเกิด ให้ซ้ำซ้อนกับกระทรวงเกษตรฯ อนุมัติโครงการด้วยความเร่งรีบรวบรัดเพียงวันเดียว ไม่สนใจคำทักท้วงของสำนักงบประมาณ ปล่อยให้มีการจัดจ้างของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เป็นการกระทำที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้ประเทศและประชาชนเสียหาย จึงมิอาจไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และขอให้ ส.ส. ช่วยกันลงมติไม่ไว้วางใจ” และจบการอภิปรายในเวลา 15.06 น.