ผู้ป่วยโควิดแนวโน้มขยับสูงขึ้น “บิ๊กตู่” ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ รวมถึงยังทำตามมาตรการสาธารณสุข รัฐบาลย้ำ ติดโควิดรักษาตามสิทธิไม่เสียเงิน
วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์โควิด-19 พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในบางจังหวัด ผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ที่เข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยระดับสีเหลือง คือกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่มักมีอาการน้อยไม่รุนแรง
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด และควรตรวจหาเชื้อหากพบมีอาการน่าสงสัย พร้อมชื่นชมสถานประกอบการต่างๆ ที่ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting และยังคงจัดหาแอลกอฮอล์ไว้ให้บริการ ขณะที่ผลสำรวจของอนามัยโพล รายงานว่า ร้อยละ 91 ประชาชนยังคงล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ทุกครั้งเมื่อสัมผัสวัตถุและสิ่งของร่วมกันด้วย
ทางด้าน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยืนยันผู้ป่วยโควิด-19 ยังรักษาฟรีตามสิทธิเหมือนเดิม แม้โรคโควิดจะเข้าสู่โรคประจำถิ่น ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป แต่จะมีการปรับแนวทางการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขโรคโควิด-19 โดยบอร์ด สปสช. จะพิจารณาในวันที่ 4 ก.ค. 2565
สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงโควิดยังขอรับชุดตรวจ ATK ที่ร้านขายยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้เมื่อตรวจแล้วติดเชื้อ ซึ่งกลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียวเข้ารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกแบบ “เจอ แจก จบ” ตามสิทธิรักษา ส่วนกลุ่ม 608 หรือมีอาการรุนแรง จะต้องพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษา หากเกิดอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินตามเกณฑ์สีเหลือง-แดง ยังใช้สิทธิ UCEP Plus เข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
...
นางสาวรัชดา กล่าวต่อไปว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้สถานการณ์ลดความรุนแรงลง ระบบสาธารณสุขมีศักยภาพรองรับได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโรคเกิดขึ้น อาจมีเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้วลดลงไป ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม มีระบบเฝ้าระวังและเตรียมการรักษาพยาบาล
ในส่วนของข้อกำหนดของ ศบค. เรื่องผ่อนคลายข้อปฏิบัติในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทั่วราชอาณาจักร ที่ให้การสวมหรือถอดหน้ากากเป็นตามความสมัครใจนั้น ยังมีสถานที่ที่ต้องใส่หน้ากากอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อ ได้แก่ สถานที่นอกอาคารที่มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬา หรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม เป็นต้น ขณะสถานที่ภายในอาคารที่ต้องสวมหน้ากาก เช่น บนเครื่องบิน รถไฟฟ้า BTS-MRT โรงเรียนและสถานศึกษาที่เป็นที่ปิด เป็นต้น แต่หากมีการจัดกิจกรรมในที่โล่งแจ้งก็สามารถผ่อนปรนการสวมหน้ากากได้
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นย้ำถึงการดูแลสุขภาพของประชาชนต้องให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน หากป่วยด้วยโรคโควิด-19 ยังคงสามารถเข้ารักษาตามสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เหมือนเดิม ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทยที่ได้รับการยกย่องติดอันดับโลกมาโดยตลอด สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการรักษา คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง”