รองโฆษกรัฐบาล แจงหลังโซเชียลแห่แชร์กรณีเงินสงเคราะห์ช่วยจัดการศพ 3,000 บาท ย้ำ ต้องเป็นผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน และเข้าหลักเกณฑ์

วันที่ 23 มิ.ย. 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการแชร์ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลมีเดียที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2563 เรื่อง การสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือในการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ที่มีฐานะยากจน รายละ 3,000 บาท แต่ด้วยเนื้อหาที่ส่งต่อกันระบุสาระหลักไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่า การจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าวจ่ายให้แก่ผู้สูงอายุทุกราย 

ดังนั้น ขอชี้แจงว่า การขอรับเงินสงเคราะห์ค่าทำศพตามประเพณี ผู้สูงอายุที่เสียชีวิตจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้

1. ผู้เสียชีวิตอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
2. สัญชาติไทย
3. ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
4. ผู้สูงอายุซึ่งอยู่ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ สถานสงเคราะห์ สถานดูแล สถานคุ้มครอง หรือสถานใดๆ ของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการจัดการศพตามประเพณีโดยมูลนิธิ สมาคม วัด มัสยิด โบสถ์

ทั้งนี้ โดยผู้ยื่นคำขอ (ครอบครัวผู้เสียชีวิต ญาติผู้รับผิดชอบจัดการศพ) จะต้องยื่นคำขอในท้องที่ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกใบมรณบัตร พร้อมกับเอกสารสำคัญ เช่น ใบมรณบัตรของผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้สูงอายุหรือหนังสือรับรอง บัตรประจำตัวประชาชน สมุดบัญชีหรือเลขที่บัญชีธนาคารของผู้ยื่นคำขอ (เพื่อโอนเงิน) กรณีอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอที่สำนักงานเขต ส่วนจังหวัดอื่นๆ ให้ยื่นคำขอในท้องที่ เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น

...

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวในช่วงท้ายว่า “ปัจจุบันยังมีประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี ขอย้ำว่า การสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มีฐานะยากจนตามคุณสมบัติบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือ”

(อ่านประกาศราชกิจจานุเบกษาฉบับเต็ม)