รังสิมันต์ โรม โฆษกก้าวไกล เรียกร้อง หยุดใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง กลั่นแกล้งคนเห็นต่าง พร้อมถาม นายกฯ มีเหตุผลอะไร ยังไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

วันที่ 19 มิ.ย. 65 ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีที่มีการแจ้งดำเนินคดีอาญาตาม มาตรา 112 ต่อบุคคลสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ กรณีที่มีการโฆษณาสินค้าในแอปพลิเคชันลาซาด้า รวมกรณี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายนี้เป็นรายล่าสุด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การตีความประกอบคดี โดยเฉพาะคดีตาม มาตรา 112 ยิ่งจำเป็นต้องตีความอย่างเคร่งครัดและต้องชี้ให้ชัดว่า กรณีแบบไหนมีความผิด เพราะสิ่งที่บุคคลเหล่านี้แสดงออก หรือสะท้อนความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ ไม่มีทางเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ได้เลย

“ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษคิดเกินเลยมาก ไปใช้จินตนาการมากกว่าพื้นฐานความเป็นจริง กรณีแบบนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำปัญหาของการใช้ มาตรา 112 ที่ทำให้สังคมไทยอยู่ในความหวาดกลัว ซึ่งสังคมที่หวาดกลัวแบบนี้ เป็นสังคมที่ไม่ก้าวหน้า ไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์ เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปได้ และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การใช้กฎหมาย มาตรา 112 ในการดำเนินคดีโดยไม่ไตร่ตรองเช่นนี้ จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกตั้งคำถามมากขึ้น”

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีของ ปิยบุตร ซึ่งเป็นนักวิชาการกฎหมายมาหลายสิบปี ไม่เคยถูกดำเนินคดีด้วย มาตรา 112 แต่เมื่อเข้าสู่แวดวงการเมืองกลับมีคดีติดตัว จึงเป็นข้อสังเกตว่า สรุปแล้วการดำเนินคดี ตามมาตรา 112 เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ใช่หรือไม่ จึงอยากใช้โอกาสนี้ในการเตือนสติผู้มีอำนาจว่า หากปล่อยให้ใช้ มาตรา 112 แบบนี้ต่อไป จะไม่ยิ่งส่งผลดีต่อสถาบัน ขอวิงวอนให้หยุดใช้ มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการจัดการผู้เห็นต่าง

ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีการใช้ มาตรา 112 ไปแล้ว 216 คดี ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยบนเวทีโลกมากมาย เพราะทุกครั้งที่มีวาระด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ประเทศไทยมักจะถูกตั้งคำถามถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ หากรัฐบาลมีหัวใจและมีความจริงใจจะบริหารประเทศจริงต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้

สำหรับประเด็นที่ 2 ในการแถลงข่าว นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยเหตุผลเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 มานานกว่า 2 ปีแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพิ่งมีการประชุมของ ศบค.ให้ยกเลิกการบังคับใส่หน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้ นี่คือตัวชี้วัดว่า สถานการณ์โควิดผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่การประชุมครั้งล่าสุด กลับไม่มีการพูดถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

“จึงอยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรีว่า ท่านจะเก็บ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ทำไม เพราะสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับโรคระบาดผ่อนคลายแล้ว สามารถใช้ พ.ร.บ.ควบคุมโรค ก็เพียงพอ จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้กฎหมายพิเศษ การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยืดเยื้อเช่นนี้จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเพื่อนำมาปกป้องอำนาจของตัวเอง และใช้เป็นเครื่องมือดำเนินคดีทางการเมืองกับประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องในประเด็นต่างๆ”

...

นายรังสิมันต์ ยังได้ย้ำทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาแล้วที่ พลเอกประยุทธ์ ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และใช้กฎหมายปกติ ขณะนี้มีพี่น้องประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องหลายปัญหา รวมถึงเรื่องปากท้อง น้ำมันขึ้นราคา ซึ่งเป็นการออกมาเรียกร้องและเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องรับฟัง อย่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อรังแกประชาชน แต่หากยังดึงดันใช้กฎหมายพิเศษแบบนี้ต่อไปก็ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถบรรเทาสถานการณ์โควิด หรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนได้อย่างไร.