• จริงๆ เป็นคนสายเฮฮา โดยเฉพาะลงพื้นที่พบปะประชาชน แต่ถ้าแถลงข่าวจะซีเรียสขึ้นมาหน่อย เพราะติดมาจากการเป็นทหาร
  • ผมเชื่อว่าจะคนหรือจะสัตว์เขาจะมีสิ่งที่เข้ากับเราได้ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินว่า “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” คืออะไรที่เราแตกต่างเราก็สงวนไว้ไม่ต้องไปพูดถึง แต่อะไรที่เป็นจุดร่วมที่เห็นตรงกัน เราก็พูด
  • ลูกสาวเคยบอกว่า “คุณพ่อ นกมันคือหมามีปีก” หากสนิทมากเขาจะยอมเล่น พอเจอก็จะมานอนหงายให้เกาพุงเล่น อันนี้คือความสนิท

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการหาเสียงผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แล้ว ช่วงนี้จะเห็นผู้สมัครหลายคนต่างมุ่งมั่นขึ้นเวทีดีเบต และปราศรัยใหญ่เสนอนโยบายหมัดเด็ด บอกเหตุผลว่าทำไมต้องเลือกตัวเองเข้าไปทำหน้าที่ ไทยรัฐออนไลน์ ขอเบรกประเด็นการเมืองอันร้อนแรงช่วงนี้สักเล็กน้อย อยากจะพาคุณผู้อ่านไปดูอีกหนึ่งตัวตนของผู้สมัคร ที่เวลาไม่ได้หาเสียง ไม่ได้สวมบทนักการเมือง วันว่างของพวกเขาทำอะไร

วันนี้เราพามาทำความรู้จักกับ น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 11 จากพรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ น.ต.ศิธา เคยบอกกับเราในรายการ “กินข้าวเย็นกับผู้ว่า” ของทางไทยรัฐพลัส ว่าเป็นพรรคที่ไม่มีนายทุน โดยครั้งนี้เราไปถ่ายทำกันไกลถึง จุดชมวิว ดงตาลสามโคก จ.ปทุมธานี

...

ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ ผู้พันปุ่น นัดแนะกับทางทีมงาน มาทำกิจกรรมแบบสายแอดแวนเจอร์ ตั้งแคมป์เล็กๆ ท่ามกลางทุ่งนา และดงต้นตาล เราไม่รอช้า รีบไปสถานที่ดังกล่าวทันที เมื่อจอดรถเสร็จสรรพ เห็นมีรถบ้านคันหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการตั้งแคมปิ้ง พร้อมกับกลุ่มคน จากนั้นเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ ใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงิน มีข้อความว่า น.ต.ศิธา ส่วนที่ข้อมือมีนกเกาะอยู่หนึ่งตัว ทางทีมงานมั่นใจว่าเป็นเจ้าตัวแน่ๆ จึงพากันแบกกล้องลุยคันนาไปหาทันที

เป็นสายชอบอยู่กับธรรมชาติ กึ่งผจญภัย

อันดับแรกพี่ปุ่น หรือผู้พันปุ่น ก็แนะนำตัวกับเราทันทีด้วยเสียงดังฟังชัดแบบสไตล์นายทหารอากาศเก่า ว่า “ผมนาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี ครับ ตอนนี้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 11 จากพรรคไทยสร้างไทยครับ” จากนั้นได้เล่าให้เราฟังต่อว่าช่วงวันว่างๆ ส่วนมากจะชอบอยู่กับธรรมชาติ ไปกับเพื่อน ชอบเอารถไปจอดในอุทยาน โดยเมื่อก่อนก็มีทั้งกลุ่มเลี้ยงสุนัข ก็จะเอาสุนัขไปวิ่งเล่นกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มเลี้ยงนกก็จะเอานกไปบินเล่นกัน ส่วนตนเองจะเป็นสาย Adventure (ผจญภัย) กันตามวัย พอได้จัดกลุ่มกับเพื่อนแล้ว เวลาไปต่างจังหวัดก็จะไปกัน 2-3 วัน เอานกไปบินเล่นกันเหนือเขื่อน

เมื่อก่อนชอบปั่นจักรยาน หลังๆ เลี้ยงนกแบบจริงจัง

น.ต.ศิธา เล่าอีกว่าก่อนที่จะมาลงสมัครผู้ว่าฯ ช่วงมีเวลาตนเองก็จะไปปั่นจักรยาน โดยเดือนนึงจะปั่นประมาณสัก 500 กิโลเมตร ก็คือวันละ 25 กิโลเมตร เดือนนึงสัก 20 ครั้ง ส่วนนกนี่ เราจะดูว่าถ้าเกิดไปทำกิจกรรม เราจะมีอะไรบ้าง บางครั้งก็มีเลี้ยงสุนัขด้วย แต่พอตอนหลังก็มาเลี้ยงนกจริงจัง โดยเล่าอีกว่าเมื่อก่อนการเลี้ยงนก จะนิยมกันมากที่ต่างประเทศ แต่พอช่วง 3 ปีหลัง เมืองไทยเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ คือจากมีแค่ไม่กี่สิบคน ตอนนี้เป็นร้อยเป็นพันแล้ว อีกทั้งยังมีเป็นจำนวนหลายกลุ่ม เรียกว่ามีแทบจะทุกจังหวัด แต่จะรู้จักกันเป็นเครือข่าย บางครั้งจะจัดกลุ่มกันไปบินกับ จ.ชลบุรี ไปบินกับ จ.โคราช บ้าง โดยตนเองก็จะไปกับเขา

ลูกสาวบอก นกมันก็คือหมามีปีก

จากนั้นผู้พันปุ่น ได้ลุกขึ้นสาธิตวิธีการปล่อยนกบินให้เราดู และเรียกมันกลับมาเกาะที่แขนเหมือนเดิม พร้อมเล่าว่าตัวนี้เป็นนกแก้วพันธุ์บลูโกลด์ (ชื่อภาษาอังกฤษ : blue-and-gold macaw) ชื่อ “สกาย” แล้วเล่าต่อว่า ลูกสาวบอกว่า คุณพ่อ นกมันก็คือหมามีปีก เหมือนสุนัขเวลาอยู่กับเรา” โดยปกติมันจะหวงตัว เป็นสัตว์ที่มักจับคู่ ถ้าไม่ใช่คู่เขาหรือว่าคนเลี้ยงแล้วไม่สนิท เขาจะให้จับแค่แตะหัว แต่ถ้าไปจับตัวลูบตัว เขาจะไม่ยอม แต่ตรงกันข้ามหากสนิทมากเขาจะยอมเล่น พอเจอก็จะมานอนหงายให้เกาพุงอันนี้คือความสนิท

ความยากในการเลี้ยงนกเป็นอย่างไรบ้าง

ผู้พันปุ่น อธิบายทันที หากเข้าใจนิสัยเขา ก็จะไม่ยาก แต่ต้องรู้ก่อนว่า เล็บเขาจะคม เวลามาเกาะแขน เกาะอะไร มักจะเป็นรอย พร้อมชี้ไปที่รอยข่วนบนแขนให้เราดู ก่อนเล่าต่อว่า นก ถ้าเราเลี้ยงแล้วไม่เอาใจใส่ เขาจะเครียด จะถอนขนตัวเอง แต่ถ้าอย่างนี้ เราเลี้ยงดีอะไรดี เขาก็จะคุ้นเคยกับเรา

คิดว่าตัวเองรู้ใจ “สกาย”มากขนาดไหน

ผู้พันปุ่น รีบตอบทันที ว่า สกาย เลี้ยงมาตั้งแต่อายุเดือนครึ่ง-2 เดือน เป็นคนให้อาหารเอง เราจึงถามต่อว่า งั้นแปลว่าพี่ปุ่นจะต้องรู้ว่า ถ้ามีอาหารมาวางเรียงจะต้องทราบว่าสกายจะเลือกกินอะไร ซึ่งผู้พันปุ่นตอบทันทีอีกเช่นกัน “ผมรู้ว่าเขาชอบอะไร แต่ยังไม่เคยลองว่าถ้ามีหลายชนิดแล้วเขาจะเลือกอะไร”

วัดใจด้วยเกม ปรากฏว่ารู้ใจกันจริง

ทางทีมงานจึงชวนเล่นเกมทายใจ “สกาย” โดยนำผลไม้และธัญพืช จัดใส่จาน 6 อย่าง คือ กล้วย แอปเปิ้ล ข้าวโพด ถั่ว เม็ดทานตะวันแบบแกะเปลือก และไม่แกะเปลือก ให้สกายลองเลือกว่าจะตรงกับเจ้านายหรือไม่ โดยผู้พันปุ่นเห็นอาหารในจานแล้วบอกว่า “หากให้เดา ผมมั่นใจว่าสกายชอบกล้วย” พร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

และบอกต่อว่าตนเองจะไม่หันกล้วยเข้าหาสกายนะ แต่ผมว่าเขาจะกินกล้วย แล้วบอกอย่างเป็นกันเองกับเจ้าสกายว่า “สกาย เลือกลูก” ผลก็เป็นไปตามคาด เจ้าสกายเลือกกล้วยจริงๆ ผู้พันปุ่น จึงบอกว่าถ้าไม่มีกล้วย เขาจะทานแอปเปิ้ล ถ้าไม่มีแอปเปิ้ลเขาจะทานข้าวโพด พูดเสร็จเจ้าสกายคายกล้วยทิ้งทันที แล้วบอกว่าเป็นธรรมชาติของเขา เพราะจะชอบเอาปากมาขูด

รอบที่ 2 ลองหันกล้วยออกอีกรอบ ปรากฏว่า เจ้าสกาย ไม่เลือก ผู้พันปุ่นจึงหันมาพูดกับทีมงานแบบติดตลกว่า “เอากล้วยเสียมาให้ผมหรือเปล่า” พร้อมหัวเราะ แล้วยืนยันอีกครั้งว่าครั้งแรกไม่ได้หันกล้วยให้ หันกล้วยออกข้างนอก แล้วยื่นจานให้เจ้าสกาย เลือกต่อ โดยครั้งนี้เลือกกินข้าวโพด พร้อมสรุปให้เราฟังว่า ตามคำถามสกายที่ว่าจะทานอะไรก่อน แน่นอนว่าเป็นกล้วย พร้อมป้อนแอปเปิ้ลเข้าปากเจ้าสกายต่อ

“ผมเชื่อว่าจะคนหรือจะสัตว์เขาจะมีสิ่งที่เข้ากับเราได้ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินว่า แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง คืออะไรที่เราแตกต่างเราก็สงวนไว้ไม่ต้องไปพูดถึง แต่อะไรที่เป็นจุดร่วมที่เห็นตรงกัน เราก็พูด ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้ผมใช้มาตลอดทั้งชีวิตนะ” น.ต.ศิธา กล่าว

การเลี้ยงสัตว์ช่วยให้มีมนุษยสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

นอกจากนี้ ยังเล่าอีกว่า บางคนจะไปตัดสินคนจากมุมที่ไม่ดี ซึ่งอาจจะดี 80% แต่ไม่ดี 20% เราก็ไปตัดสินตรงมุมที่ไม่ดี ซึ่งผมมองว่า อันนี้มันพัฒนาการมาจากการเลี้ยงสัตว์ เมื่อเราเมตตากรุณากับสัตว์ มันก็จะมีมุม ซึ่งบางทีเผลออึบ้าง หรือนกเนี่ยเขาก็จะขับถ่าย ถ้าเรารู้นิสัย เราก็จะรู้แล้ว ทำท่าอย่างนี้เดี๋ยวจะอึ เราก็จะรู้ หรือว่าเอาออกจากกรงใหม่ๆ จะต้องให้เขาถ่ายก่อนบินมาเล่น ตรงไหนที่เราไม่อยากให้ถ่าย พอเล่นเสร็จก็เอาไปเกาะขอนไม้ เขาก็จะถ่ายแล้วก็จะกลับมาเอง “ถ้าเราเข้าใจ แล้วเรารู้จักที่จะเลี้ยงในส่วนที่น่ารัก เราก็จะมีมนุษยสัมพันธ์ให้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”

ปกติคนอย่าง “ผู้พันปุ่น” เป็นคนอย่างไร

เจ้าตัว รีบตอบแบบอารมณ์ดีทันที “โห ฮามากครับ” ถ้าคนอยู่ด้วยกันจะรู้ มันติดจากตอนเป็นทหาร เวลาขึ้นไปพูดหน้าเวทีหรือว่าขึ้นไปบรรยายสรุปทหาร ซึ่งจะมีการสอนตั้งแต่เป็นนักเรียนทหารเลย ตั้งแต่อายุ 18 ปี เพราะผมเข้าไปเป็นนักเรียนนายเรืออากาศตั้งแต่อายุ 18 ปี เข้าไปก็คือเวลาเรานำเสนออะไรขึ้นมาหน้าห้อง เขาห้ามยิ้ม ถ้าเกิดทหารอมยิ้มหรือยิ้ม เขาจะเรียกว่าหน้าทะเล้น แล้วก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ มันเลยติดมาจากตอนนั้น แต่ถ้าเกิดเวลาเป็น ส.ส. ลงพื้นที่กับประชาชนก็จะสนุกสนานเฮฮา แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแถลงข่าว เมื่อพูดหน้าจะซีเรียส เอาจริงเอาจัง ซึ่งตนเองก็พยายามแก้ไขอยู่ คนก็บอกให้ยิ้มบ้าง แต่ถ้ามาคุยกันเล่นแบบอย่างนี้ ก็จะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า แล้วก็ปกติก็ชอบอยู่กับธรรมชาติ ไปเที่ยวต่างจังหวัดอะไรแบบนี้

ทิ้งท้ายสไตล์ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ชวนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ก่อนที่เราจะปิดการสนทนากัน ผู้พันปุ่น ได้ฝากทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เป็นวันเลือกตั้ง ก็อยากจะเชิญชวนพี่น้องคนกรุงเทพฯ ไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง ครั้งนี้ผมเชื่อว่ามีผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถหลายคน แล้วก็ไม่ได้แข่งกันแค่ตัวแทนพรรค 1-2 คน แต่มีเยอะแยะให้เลือกมาก น่าจะเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์”

ผู้เขียน : Supattra.l
กราฟิก : Varanya Phae-araya