“บิ๊กตู่” ลั่น ไม่เคยทิ้งแรงงาน มุ่งพัฒนาเป็นหัวหน้าคุมงาน รับ 8 ข้อเสนอ ยัน รัฐบาลไม่ทอดทิ้ง อ้อนขอกำลังใจแรงงาน สู้กับปัญหา บอกปรับขึ้นค่าแรงกำลังหารืออยู่

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม จอมพล ป.พิบูลสงคราม กระทรวงแรงงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ พ.ศ. 2565 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันแรงงานว่า เป็นโอกาสที่เราได้พบกันอีกครั้งนับจากมีการระบาดของโควิด-19 วันแรงงานเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะแสดงความขอบคุณและตระหนักถึงบทบาทของผู้ใช้แรงงานทุกคน ตนไม่เคยทอดทิ้งและเอาใจใส่กับท่านอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นโอกาสดีที่จะกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึง สิทธิความเสมอภาคสวัสดิการ ความปลอดภัยในอาชีพ เพื่อนำไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีความสุขมั่นคง เรื่องเหล่านี้รัฐบาลให้ความสำคัญเสมอมา การพัฒนาแรงงาน เพื่อให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตที่ดีและความสุขอย่างยั่งยืน เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องดำเนินการไปพร้อมกันกับกลับการพัฒนาประเทศ ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทิ้งพวกเรา สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรประเทศของเราจะมีรายได้ที่สุดในอนาคต ทำอย่างไรจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มากขึ้น และทำอย่างไรคนไทยของเราที่เป็นแรงงานจะมีงานทำในลักษณะหัวหน้างาน เราจึงเร่งพัฒนาฝีมือแรงงาน การเพิ่มศักยภาพของพวกเรา เพราะวันหน้าโลกอาจจะเปลี่ยนไปในเรื่องของการใช้เครื่องจักรเครื่องมือ เป็นใช้หุ่นยนต์มากขึ้น ฉะนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองเพื่อสามารถทำงานกับเครื่องจักรได้ในอนาคต และสามารถเป็นหัวหน้างานคุมงานได้

...

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในกรณีที่มีการตั้งโรงงานในประเทศไทย มีกติกาว่าเขาจะต้องจ้างแรงงานไทย ในจำนวนพอสมควร ซึ่งวันนี้มีการลงทุนผ่าน BOI และ EEC จำนวนมาก ตนให้แนวทางไปว่าจะต้องทำอย่างไร ให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมาให้มีรายได้สูงขึ้น และเร่งรัดให้เดินหน้าไปสู่สังคมการใช้เทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมเข้ามาในการผลิตวันนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้า แม้จะมีภาวะสงครามเกิดขึ้นก็ตาม ตนเชื่อในคำพูดว่าเราจะอยู่ด้วยความรักความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะรัฐบาลไม่สามารถเดินคนเดียวได้ และท่านก็เดินไปคนเดียวไม่ได้ ประเทศชาติเป็นสิ่งที่รักยิ่งของทุกคน ชาติศาสน์กษัตริย์เป็นแกนเป็นหลัก สำคัญของประเทศนี้บ้านนี้เมืองนี้มาโดยตลอด เป็นศูนย์รวมความรักความสามัคคีของพวกเรา สำหรับข้อเสนอในวันแรงงานทั้ง 8 ข้อนั้น ตนรับข้อเสนอทั้ง 8 ข้อ เพื่อนำไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งยกระดับป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ขณะที่แรงงานต่างด้าว ต้องดูแลให้เป็นระบบเพราะต้องใช้ทั้งแรงงานไทยและต่างด้าวพัฒนาระบบทั้งประเทศ ทุกครั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จะพูดถึงประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย และให้ความสำคัญกับทุกกระทรวง สนับสนุนงบประมาณที่มีจำกัด 2 ปี ที่ผ่านมามีปัญหาทั้งโควิด-19 และสถานการณ์สงคราม รัฐบาลยินดีทุกอย่างถ้าสามารถทำอะไรให้แรงงานได้และจะร่วมมือกันทำงานให้ดีที่สุด ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้ง และไม่เคยคิดอย่างนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เป็นตัวแทนประชาชน เข้ามาทำงานแก้ปัญหา อะไรทำได้จะทำเต็มที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมกับให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากในประเทศของเราเอง แต่มาจากปัจจัยภายนอกที่เราต้องแก้ไปทีละขั้นตอน ถ้าแก้อันหนึ่งผิดก็จะพังไปทุกๆ อย่าง ตนทราบความต้องการของผู้ใช้แรงงาน แต่ต้องมาหารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรให้มีรายได้เข้าประเทศ สิ่งไหนทำได้รัฐบาลจะทำให้ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ในช่วง 2 ปี ที่มีโควิดรัฐบาลใช้งบประมาณดูแลเฉพาะเรื่องนี้ไปถึง 1 ล้านล้านบาท ทั้งการฟื้นฟูและเยียวยา ก็เสียดาย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เราต้องดูแลเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาล เรื่องที่บกพร่องได้สั่งย้ำให้เร่งแก้อยู่ตลอด วันนี้ต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้หารายได้มาทดแทนเงินก้อนใหญ่ที่ใช้ไป พอโควิด เริ่มดีการท่องเที่ยวจะเข้ามาก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ขอย้ำว่า เราต้องพูดคุยและอยู่กันอย่างสันติวิธี ถ้าเรื่องไหนง่าย มีงบ และไม่กระทบกับเรื่องอื่น นายกฯ ไม่เคยปฏิเสธ เราจะไม่สร้างความเสียหายให้กับใคร รวมถึงรัฐบาลหน้าก็ไม่อยากเอาปัญหาไปให้เขา วันนี้จะทำให้เต็มที่ จะได้แค่ไหนอยู่ที่ร่วมมือกัน ตนต้องการแค่กำลังใจเท่านั้นเพื่อสู้กับปัญหาต่างๆ

เมื่อถามถึงข้อเสนอเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กำลังหารือกันอยู่ว่าถ้าจะขึ้นจะขึ้นได้เท่าไร ต้องดูเรื่องอัตราเงินเฟ้อด้วย และถ้าจะไม่ขึ้นเป็นเพราะอะไร สิ่งสำคัญวันนี้ คือ การย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น เพราะนักลงทุนจะดูว่า จะไปประเทศไหน และอาจจะมองว่า ที่อื่นลงทุนได้ง่ายกว่า สะดวกกว่าหรือไม่ ถูกกว่าหรือไม่ เขาก็ไปหมด ข้อเสนอเรื่องนี้เป็นของคนที่เดินอยู่ข้างนอก แต่เราต้องเอามาดู มีอะไรก็มาคุย.