รัฐบาลเชิญชวนชาวกรุงเทพฯ ใช้บริการสำนักงานที่ดินออนไลน์ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนอกพื้นที่ตั้งที่ดินได้ มหาดไทย ตั้งเป้าปี 2566-2567 ขยายเพิ่มอีก 10 จังหวัด
วันที่ 21 เม.ย. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้พัฒนาบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนโดยตรง นำระบบดิจิทัลเข้ามาปรับใช้กับการให้บริการ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้วยนั้น
สำหรับ กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้พัฒนาสำนักงานที่ดินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินออนไลน์ ให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินแห่งใดของกรุงเทพมหานครก็ได้ ที่ใกล้บ้านหรือที่สะดวกโดยไม่ต้องเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่
ทั้งนี้ สิทธิหรือนิติกรรมที่จะดำเนินการจดทะเบียนต่างสำนักงานได้นี้จะต้องเป็นแบบที่ไม่มีการต้องประกาศหรือรังวัด ต้องมีเอกสารเป็นโฉนดที่ดินเท่านั้น และเจ้าของที่ดินต้องเข้าไปดำเนินการด้วยตนเอง โดยผู้ต้องการใช้บริการจดทะเบียนที่ดินต่างสำนักงานแบบออนไลน์นี้จะต้องจองคิวล่วงหน้า โหลดแอปพลิเคชัน e-QLands เพื่อเข้าไปลงทะเบียนจองคิวล่วงหน้า 3 วันทำการ เมื่อเข้าไปในแอปพลิเคชันแล้วกดเลือกจองคิวจดทะเบียนต่างสำนัก เลือกสำนักงานที่ใกล้บ้านหรือที่สะดวก รอการยืนยัน จากนั้นก็เดินทางไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินที่จองไว้ได้
“รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ที่ต้องจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรมที่ดินใช้บริการจดทะเบียนที่ดินต่างสำนักงานแบบออนไลน์ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวก ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดเวลาทำนิติกรรมได้มาก เพราะแต่ละปีในกรุงเทพมหานครมีผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมถึงปีละ 9 แสนรายการ โดยบริการนี้จะครอบคลุมที่ดินในกรุงเทพมหานครทั้งหมด 2.2 ล้านแปลง”
...
รองโฆษกรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า บริการนี้เริ่มนำร่องในกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่แรก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีเป้าหมายจะขยายบริการจดทะเบียนที่ดินออนไลน์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และในปี 2566-2567 จะขยายไปใน 10 จังหวัด แยกเป็น 4 จังหวัดในปี 2566 ได้แก่ อุบลราชธานี หนองคาย เชียงใหม่ และสงขลา ส่วนอีก 6 จังหวัดในปี 2567 ประกอบด้วย ขอนแก่น ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ เพชรบุรี และสิงห์บุรี โดยบริการที่กว้างขวางขึ้นจะช่วยยกระดับเรื่องการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business ในระยะยาวของประเทศไทยด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อประเทศไทยของนักลงทุนต่อไป.