รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ถามรัฐบาลอยู่จนจะหมดวาระ แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าการแก้ปัญหาความรุนแรงกับสตรี ชี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการเยียวยา แนะเหยื่อเผชิญหน้าสู้

วันที่ 15 เมษายน 2565 น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ระบุว่า จากกรณีกระแสข่าวดังเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศในสังคมตอนนี้ เรื่องการกระทำรุนแรงต่อเพศสตรีจากบุคคลที่มีโอกาสทางสังคมสูงกว่าคนอื่น กลับนำโอกาสของตนเองมาทำร้ายมาเอาเปรียบผู้อื่นนั้น เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ คนเราควรมีคุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐานให้ได้เสียก่อนที่คิดจะมาเป็นผู้นำทางสังคม ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมองว่าประเด็นนี้รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง อย่างที่ตนเองได้เคยให้ข้อมูลไปเมื่อช่วงที่มีโอกาสได้เข้ามาลงสนามการเมือง ว่ามีผลสำรวจระบุว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ/ข่มขืน รองลงมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันผ่านมาจะครบวาระการทำงานของรัฐบาลชุดนี้แล้ว ตนยังไม่เห็นความคืบหน้าหรือความใส่ใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลระบุว่าผู้หญิงไทยถูกละเมิดทางเพศ-กระทำความรุนแรง มากกว่า 7 คนต่อวัน และเข้ารับการบำบัดรักษา-แจ้งความร้องทุกข์ 30,000 คนต่อปี ซึ่งสูงติดอันดับโลก ขณะที่รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบว่า กว่าร้อยละ 87 ของคดีการถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงาน และจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิง และบุคคลในครอบครัวของไทยระดับประเทศ พบความชุกของความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.6 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 42.2 ในปี 2563 โดยประเภทความรุนแรงสูงสุดคือ ความรุนแรงทางด้านจิตใจ คิดเป็นร้อยละ 32.3 รองลงมาคือ ความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 9.9 และความรุนแรงทางเพศร้อยละ 4.5

...

น.ส.เกศปรียา กล่าวต่อว่า กรณีแบบนี้เคยเห็นมาเยอะมากในสังคม และตั้งแต่เข้าสู่การเมืองก็มีผู้หญิงหลายคนเข้ามาปรึกษาปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผลกระทบไม่ใช่แค่ด้านร่างกายแต่ยังกระทบกับสภาพจิตใจของตัวและครอบครัวของผู้โดนกระทำด้วย ผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกจะเก็บเงียบเนื่องจากอายที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ รวมทั้งมีความกังวลว่าอาจจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานตนเองในอนาคต อีกทั้งปัญหาความรุนแรงที่ผู้หญิงต้องเผชิญส่วนมากไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา เนื่องจากขาดที่พึ่งที่ปลอดภัย เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงยากที่จะแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ ค่านิยมเพศชายเป็นใหญ่ที่โทษว่าปัญหานี้มาจากความผิดของเหยื่อก็ยังเป็นปัจจัยหลักซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความคิดที่ผิด ทุกคนต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันไม่ว่าจะมีพื้นฐานชีวิตมาแบบไหนหรือเป็นเพศอะไร ดังนั้น การเปลี่ยนรากฐานทัศนคติ ช่วยเหลือผู้เสียหายโดยไม่เลือกปฏิบัติ รณรงค์เปลี่ยนค่านิยมชายเป็นใหญ่ที่ชอบกดขี่หญิง เป็นสิ่งที่จะต้องทำทันที


ในทางปฏิบัติตนเองต้องการเป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงทุกคนกล้าออกมาเผชิญ ถ้าเราไม่กล้าออกมาเผชิญการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้น “การรณรงค์สร้างค่านิยมทางเพศขึ้นมาใหม่ในสังคม ให้มีบรรทัดฐานเดียวกันทุกเพศ เป็นสิ่งที่เดียร์ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าถ้ามีโอกาสเดียร์จะต้องทำทันที” น.ส.เกศปรียา กล่าวทิ้งท้าย