“ชัชชาติ” ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 2565 ลุยหาเสียงย่านบางแค ชูนโยบายจัดการตลาดสดให้ทันสมัย เพิ่มช่องทางการจ้างงาน-รายได้ มั่นใจประสบการณ์ ผลักดันทุกนโยบายเมืองน่าอยู่ให้เป็นจริงได้


วันที่ 6 เม.ย. 2565 ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พร้อมด้วย ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หัวหน้าทีมนโยบายเศรษฐกิจเพื่อนชัชชาติ และทีมงานลงพื้นที่หาเสียงพร้อมกับสำรวจสภาพเศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน และการบริหารจัดการตลาดภายใต้การบริหารของ กทม. ลงพื้นที่เริ่มต้นจากตลาดบางแค และตลาดศิริเกษม ย่านพุทธมณฑลสาย 3 มีผู้ค้าและประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายชัชชาติ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบสภาพปัญหาในตลาดหลายด้าน เช่น เรื่องที่จอดรถส่งของ ทำให้การจราจรติดขัด กทม. ต้องเข้ามาดูแล, ทางเดินเท้าที่กลายเป็นที่ขายของ กีดขวางทางเดินและหน้าร้าน แนวคิดคือต้องให้ตั้งคณะกรรมการดูแลร่วมกัน โดย กทม. จะดูแลด้านความสะอาด สุขอนามัย และเรื่องจัดการน้ำเสีย ส่วนเรื่องจะให้ตลาดหยุดทำความสะอาดทุกวันจันทร์หรือไม่ต้องดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เพราะมีเสียงเรียกร้องให้หยุดทุกวันพุธแทน เนื่องจากปกติคนซื้อของเยอะในวันเสาร์และอาทิตย์ การหยุดวันจันทร์จึงอาจเป็นอุปสรรคของพ่อค้าแม่ค้า ในการเตรียมของไว้ขาย เพราะกลัวขายไม่หมด ขณะเดียวกันก็อาจพิจารณาหยุดทุก 2 อาทิตย์แทนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำความสะอาดจริงที่ทำทุก 2 อาทิตย์

...

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หัวหน้าทีมนโยบายเศรษฐกิจเพื่อนชัชชาติ
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หัวหน้าทีมนโยบายเศรษฐกิจเพื่อนชัชชาติ

ทั้งนี้ กทม. มีตลาดในความดูแลของตัวเองรวม 13 แห่ง และอีก 20,000 แผงค้า ต้องทำเป็นตัวอย่าง เริ่มจากต้นทุนต้องไม่สูง มีการคัดแยกขยะ การดูแลความสะอาดและการจัดการน้ำเสีย ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบาย ตลาดออนไลน์ ซื้อขายของผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งมีตัวอย่างทำสำเร็จแล้วที่ตลาดยิ่งเจริญ หากทำได้ก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนที่จับจ่ายซื้อของมีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นการลดสภาพปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าตลาดอีกด้วย

ส่วนกรณีเสียงวิจารณ์ว่าคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ไม่เลือกผู้ว่าฯ จากนโยบาย แต่เลือกจากแนวคิดทางการเมือง นายชัชชาติ ระบุว่าไม่เห็นด้วย เพราะนโยบายคือหลักฐานว่าหากได้รับเลือกตั้งจะต้องเดินหน้าทำทันที ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ หากไม่มีนโยบายสุดท้ายประชาชนก็ไม่รู้จะเรียกร้องอะไร เปรียบนโยบายเหมือนอาวุธของผู้ว่าฯ ใช้แก้ปัญหา นโยบายคืออาวุธในการต่อสู้ปัญหา ขณะนี้นโยบายกว่า 200 นโยบาย ได้รับความสนใจจากประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อเนื่อง ซึ่งมีประโยชน์มากต่อการพัฒนาและออกแบบนโยบาย ควบคู่กับการลงพื้นที่รับฟังโดยตรงจากประชาชน เพื่อได้นโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการจริง

อีกทั้งคาดว่าเร็วๆ นี้ จะมีนโยบายน่าสนใจมานำเสนอเพิ่มเติมอีก จนกว่าจะถึงกำหนดวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในวันที่ 22 พ.ค. นี้ เชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากนโยบาย ไม่น้อยกว่าเชื่อมั่นในตัวบุคคล รวมถึงมั่นใจว่าความเป็นผู้นำจากประสบการณ์บริหารกระทรวงคมนาคม และบริษัทเอกชนในอดีต จะสร้างความร่วมแรงร่วมใจให้ข้าราชการและพนักงานสังกัด กทม. ผลักดันนโยบายทั้งหมดให้ประสบความสำเร็จลุล่วง

“การที่ผมลงสมัครในนามอิสระ จะสามารถทำงานร่วมกับ ส.ก. (สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร) ส.ข. (สมาชิกสภาเขต) ที่มาจากพรรคการเมืองได้หรือไม่นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือความเป็นภาวะผู้นำ รวมใจข้าราชการและเจ้าหน้าที่ กทม. ที่มีอยู่ 80,000 คน รวมทั้ง ส.ก. และ ส.ข. ไม่ว่ามาจากพรรคไหนก็เป็นผู้แทนของคนกรุงเทพฯ ให้ร่วมกันทำงานรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ เหมือนกับที่ผมเคยทำสมัยเป็นรัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงให้คนในประเทศได้เห็น เชื่อว่าความเป็นผู้นำสำคัญ นโยบายดี เราทำงานจริง เราสามารถรวมใจคนและบริหารความขัดแย้งได้ นี่คือหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม. ผมมั่นใจว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะถึงเวลาที่เราต้องลดความขัดแย้ง มาเดินหน้าช่วยกันทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ตามความของประชาชน”.