การหาเสียงของ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งจะ เลือกตั้งกันวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม กำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ไม่คึกคัก เพราะมีข้อห้ามการหาเสียงมากมาย จากกฎหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ยังดีที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หลายคนมีคนรู้จัก แต่ ผู้สมัคร ส.ก. สมาชิกสภา กทม. เห็นรูปในป้ายหาเสียงข้างถนนแล้ว มีแต่ “คนแปลกหน้า” ที่คนในเขตไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่รู้ว่าเลือกไปแล้วจะหายหัวไปอีกเหมือน ส.ก.รุ่นเก่าๆหรือไม่ ได้แล้วแจวไม่เคยกลับมาซอยเก่าที่เคยหาเสียงอีกเลย

เมื่อวานผมอ่านข่าวการเสวนาเรื่อง “ปลดล็อกกรุงเทพฯ เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” ที่ไทยพีบีเอสจัดขึ้น มี ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเสนาดีเวลลอปเมนท์ ตัวแทน คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 8 ไปร่วมเสวนาด้วย แล้วก็ได้รับรู้ ข้อมูลอันน่าตกใจของกรุงเทพมหานคร ก็อดไม่ได้ที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง

ดร.ภูมิศรันย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เปิดเผย ความจริงอันน่าเจ็บปวดของคน กทม. ในเวทีเสวนาว่า กรุงเทพมหานครเมืองหลวงศูนย์กลางของทุกความทันสมัย กลับมีความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาสูงที่สุดในประเทศ เป็นเมืองที่ครอบครัวมีรายได้ต่อหัวตํ่าที่สุด ทำให้เด็กจำนวนมากขาดโอกาสทางการศึกษา

เป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะ ดร.ภูมิศรันย์ เป็นข้าราชการกระทรวงศึกษาที่ไปช่วยราชการใน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งเป็น กองทุนที่ดูแลนักเรียนยากจนเป็นพิเศษ ผู้ปกครองมีรายได้ตํ่ากว่า 3,000 บาทต่อเดือน

...

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้ทรงคุณวุฒิในกองทุน กสศ. เคยให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าสิ้นปีการศึกษา 2564 จะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นอีก 65,000 คน จากความยากจน “ค่ารถไปกลับวันละ 40 บาท เดือนละ 800 บาท ผู้ปกครองมีรายได้เดือนละ 1,077 บาท จะไปรอดหรือครับ นี่เป็นปัญหาที่หนักมาก มีเด็ก 7-8 แสนคนที่ยากจน ถ้าเอาเส้นรายได้ 1,021 บาทต่อเดือน จะมีเด็กยากจนพิเศษถึง 9 แสนคน ถ้าใช้เส้นแบ่ง 1,388 บาทต่อเดือน จะเกิดเด็กยากจนและยากจนพิเศษถึง 1.9 ล้านคน” ศ.ดร.สมพงษ์ระบุ

นี่คือ ความจริงอันเจ็บปวดของคนกรุงเทพฯที่ถูกซุกซ่อนอยู่ใต้พรมอันสวยงามของกรุงเทพมหานคร ที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งปลื้มอกปลื้มใจว่า เป็นเมืองอันดับ 1 ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

ผศ.ดร.เกษรา ทีมชัชชาติ ซึ่งใช้สโลแกนหาเสียงว่า “ให้ (กรุงเทพฯ) เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” ให้ความเห็นในเวทีเสวนาว่า การแก้ไขปัญหาลดความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษานี้ ทีมชูนโยบายต้องแก้พร้อมกัน 3 อย่าง คือ ครอบครัว ชุมชน และโรงเรียน แล้วก็ได้ข้อมูลอันน่าตกใจของกรุงเทพฯ จาก ผศ.ดร.เกษรา อีกว่า โรงเรียนในกรุงเทพฯ 400 กว่าโรงเรียน มีเพียง 71 โรงเรียนเท่านั้นที่สอน 2 ภาษา ทั้งที่กรุงเทพฯเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แต่เด็กที่ผลิตใน กทม. กลับไม่รู้ภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ โจทย์ของเราก็คือ ทำอย่างไรให้เด็กทุกคนสามารถมีอาชีพที่ดีและเลี้ยงดูตัวเองได้ และไม่หล่นไประหว่างทาง หรือไม่ก็ไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง

การหาเสียงด้วยการ ตีแผ่ปัญหาจริง แล้ว เสนอแนวทางแก้ปัญหา ผมว่า เป็นการหาเสียงที่ดีที่สุด จะได้เห็น ขยะที่ซุกอยู่ใต้พรม แล้วช่วยกันกวาดออกมา ผู้สมัครที่ “ขายฝัน” ไปเรื่อย แสดงว่าไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของ กทม. อย่าไปเลือกให้เปลืองนํ้าหมึกเลยครับ

เรื่องที่ผมนำมาเล่าเป็นเพียง “ความจริงเดียวที่เพิ่งเปิดเผย” จากสารพัดปัญหาของ กทม.ที่ถูกซุกอยู่ใต้พรม เป็นปัญหาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครอันรํ่ารวย ทั้งที่ ทีม คสช.มีอำนาจบริหารประเทศเด็ดขาดมานานถึง 8 ปี และยังแต่งตั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.มากว่า 5 ปี แต่กลับทำให้กรุงเทพฯมีความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษามากที่สุด เป็นเมืองที่คนมีรายได้ต่อหัวตํ่าที่สุด ไม่รู้สึกอายกันบ้างหรือไร?

“ลม เปลี่ยนทิศ”