ศบค.ห่วงคลัสเตอร์ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข 3 รพ.ใหญ่ ติดโควิด ขณะกังวลอัตราครองเตียง ที่ จ.สงขลา ใช้ไปแล้วเกินครึ่งกว่า 58% เน้นย้ำกลุ่มเสี่ยงเร่งฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุ มีโรคเรื้อรัง
วันที่ 24 มี.ค. 2565 แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล (ศบค.) แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบคลัสเตอร์ Health Care Worker 3 รพ.ใหญ่ติดโควิด สำหรับ 10 จังหวัด ที่ยังมีผู้ติดเชื้อสูงสุดยังคงเป็นกรุงเทพมหานคร จำนวน 3,722 ราย รองลงมา เป็นนครศรีธรรมราช 1,746 ราย ชลบุรี 1,341 ราย ซึ่งตัวเลขลดลงแล้ว สมุทรปราการ 920 ราย สงขลา 861 ราย สมุทรสาคร 849 ราย ร้อยเอ็ด 730 ราย ระยอง 593 ราย ราชบุรี 592 ราย และฉะเชิงเทรา 574 ราย
แพทย์หญิงอภิสมัย กล่าวต่อว่า สำหรับคลัสเตอร์ที่ ศบค.ชุดเล็ก หารือกันและมีความเป็นกังวล คือ คลัสเตอร์กลุ่ม Health Care Worker หรือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข ซึ่งมีรายงานในกทม. ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน และโรงพยาบาลพระราม 9
"ส่วนโรงเรียน สถานศึกษา โรงงาน สถานประกอบการ ระยะหลังจะเห็นคลัสเตอร์ในกลุ่มนี้น้อยลงอย่างชัดเจน ถือได้ว่าผู้ประกอบการ หรือผู้จัดการโรงเรียน หรือรวมไปถึงประชาชน ผู้ปกครอง มีความเข้าใจถึงความเข้มงวดในสถานศึกษา โรงงาน สถานประกอบการ จึงทำให้เห็นคลัสเตอร์กลุ่มนี้ลดน้อยลงในส่วนที่ยังเป็นคลัสเตอร์อย่างต่อเนื่องจะเป็นกลุ่มพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นที่มหาสารคามมีรายงาน งานบวช งานบุญแจกข้าวที่กาฬสินธุ์ งานบุญเดือนสี่ งานแต่งงานที่อุดรธานี" แพทย์หญิงอภิสมัย กล่าว...
แต่ที่สาธารณสุขจะสนใจเป็นพิเศษ คือ อัตราครองเตียง คือ ถ้านับจากจังหวัดที่ติดเชื้อ 1-10 เทียบกับอัตราการครองเตียงจะพบว่า ทั้งประเทศอัตราการครองเตียงระดับ 2-3 ที่ต้องรองรับผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบ มีกลุ่มเสี่ยงสูงอายุ ยังอยู่ในเกณฑ์รองรับได้ โดยทั้งประเทศมีระดับครองเตียง 2-3 (เขียวอ่อน-เขียวเข้ม) อยู่ที่ 26.4% ยังสามารถรองรับผู้ป่วยระดับ 2-3 ได้อีกประมาณ 70%
...
"แต่ใน 10 จังหวัดตอนนี้อัตราการครองเตียงที่น่าเป็นห่วงจะอยู่ที่จังหวัดสงขลา ตอนนี้มีอัตราการครองเตียงอยู่ที่ 58.4% ถือได้ว่าใช้ไปเกินครึ่ง ขณะที่ในกทม.ระดับการครองเตียงยังอยู่ที่ระดับ 32.3% และในบางจังหวัดอย่างนครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ อัตราการครองเตียงยังค่อนข้างต่ำ แม้ว่าจะมีการรายงานอัตราการติดเชื้อซึ่งก็ไม่เล็ก แต่ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อแข็งแรง อายุน้อย อาการไม่รุนแรง ทำให้สามารถรักษาที่บ้าน หรือโรงพยาบาลสนาม หรือศูนย์รักษาในชุมชนได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามอย่างใกล้ชิดถึงศักยภาพการครองเตียง"
ส่วนรายละเอียดของผู้เสียชีวิต 82 รายในวันนี้เป็นชาย 46 ราย หญิง 36 ราย เป็นคนไทย 76 ราย เมียนมา 5 ราย อังกฤษ 1 ราย แต่อย่างที่เคยบอกสำหรับกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อและมีอาการรุนแรงจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ซึ่งอีกปัจจัยหนึ่งที่เน้นย้ำทุกครั้งคือการได้รับวัคซีน
โดยในวันนี้ผู้เสียชีวิต 82 ราย มีถึง 46 รายที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มที่ 1 และมี 6 รายที่เพิ่งได้รับเข็ม 1 ไม่นานก็เกิดการติดเชื้อ และทำให้มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต และมี 16 รายที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็ม แต่ยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น
“มี 6 รายที่เพิ่งได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 แต่อาจจะได้รับไม่นานพอ ทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับโรค ที่สำคัญในกลุ่มเสี่ยง 6 รายนี้ที่ได้รับเข็ม 3 แล้วเสียชีวิตก็เป็นกลุ่มที่มีโรคประจำตัวทุกรายด้วย” แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าว และย้ำว่า
สิ่งสำคัญในช่วงนี้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว คงต้องช่วยกันรณรงค์อย่างต่อเนื่อง พาท่านเหล่านี้ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ตัวเลขฉีดเข็ม 3 ยังต่ำ แค่ 32.6%
ผู้มารับวัคซีน ณ วันที่ 23 มีนาคม 2565 ณ เวลา 18.00 น. วานนี้ มีผู้รับการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 71,997 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 19,010 ราย เข็มที่ 3 จำนวน 113,164 ราย และระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564-23 มีนาคม 2565 มีผู้รับวัคซีนสะสมทั้งหมด จำนวน 127,862,740 โดส (ตามกราฟิก)
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 55,044,107 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 50,162,888 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 22,655,745 ราย