อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ หารือปลัดมหาดไทย ถึงความร่วมมือเพื่อประโยชน์พลเมืองทั้ง 2 ชาติ รวมถึงมิตรประเทศ พร้อมขอบคุณไทยช่วยเหลือผู้หนีภัยสู้รบจากเมียนมา


วันที่ 15 มี.ค. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและร่วมหารือกับ นายไมเคิล ฮีธ (Mr. Michael G. Heath) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายมานะ สิมมา ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง นายสมาวิษฎ์ สุพรรณไพ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร้อยตรีสรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมให้การต้อนรับ

นายไมเคิล กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือขับเคลื่อนภารกิจเพื่อประโยชน์ของชาวไทยและพลเมืองสหรัฐอเมริกา รวมถึงมิตรประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมืออันดีในการช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ซึ่งเมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ ได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา พบว่ามีระบบการช่วยเหลือและดูแลความปลอดภัยตามหลักมนุษยชนเป็นอย่างดี ได้รับคำชื่นชมจากเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส สำนักงานแผนกกิจการผู้อพยพที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย อีกด้วย

...

ทางด้าน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า รัฐบาลไทยอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาให้มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ตามหลักมนุษยธรรม โดยมีองค์การระหว่างประเทศ และองค์การนอกภาครัฐ หรือ NGOs ร่วมดำเนินการส่งเสริมสุขภาวะ เสริมสร้างศักยภาพคนในพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อเตรียมความพร้อมสู่โครงการส่ง ผภร. เดินทางกลับมาตุภูมิโดยสมัครใจ (Voluntary Repatriation Program) หรือโครงการส่ง ผภร. เดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สาม (Resettlement Program) ซึ่งกระทรวงมหาดไทยในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลได้ดูแลและบริหารจัดการพื้นที่พักพิงชั่วคราวร่วมกับภาคประชาชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ขณะที่การดูแลอย่างมีมิตรไมตรีนั้นเป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่เราจะดูแลเพื่อนร่วมโลกด้วยหลักมนุษยธรรมสูงสุด พร้อมกันนี้ ต้องขอความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ร่วมกับองค์กรภาคีสร้างความเข้าใจให้ ผภร. ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดภายในพื้นที่พักพิงชั่วคราว

จากนั้น อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องที่มีความสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ งานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แม้ว่าสถานการณ์ค้ามนุษย์ในไทยจะมีจำนวนลดลงจากด้านการคัดกรองด้านแรงงานและการท่องเที่ยวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็มีความห่วงใยในด้านการให้ความช่วยเหลือด้านการคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมง ที่อาจไม่เพียงพอต่อกระบวนการดังกล่าว

ขณะที่ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ในขณะนี้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาขยายระยะเวลาการคัดกรองผู้คาดว่าเสียหายจากการค้ามนุษย์จากเดิมกำหนดภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งที่ประชุมมีมติร่วมกันในการขยายเวลาเป็น 15 วัน โดยในช่วงกระบวนการรับตัวผู้คาดว่าเสียหายจากการค้ามนุษย์ ดำเนินการให้บุคคลดังกล่าวได้ผ่อนคลายอิริยาบถก่อนให้ข้อมูลกับภาครัฐในการคัดกรองเบื้องต้น เมื่อกระบวนการครบแล้ว จึงเข้าสู่กระบวนการคัดแยกต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้ายอีกว่า เพื่อเป็นการดูแลด้านสถานที่ให้กับผู้คาดว่าเสียหายจากการค้ามนุษย์ให้ได้รับการผ่อนคลายความกังวลด้านต่างๆ ก่อนให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐ กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในการปรับปรุงสถานที่ที่เหมาะสม ไม่แออัด ไม่เกิดความตึงเครียด ในด้านอารมณ์ ด้านสุขภาพ เช่น ที่ทำการกองร้อยอาสารักษาดินแดน ที่มีความโปร่งโล่ง สบาย ถูกสุขลักษณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้การดูแลด้านมนุษยธรรมดีขึ้น

“กระทรวงมหาดไทยยินดีร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการสนับสนุนด้านต่างๆ ตามหลักสิทธิมนุษยชนให้กับพลเมืองของมิตรประเทศต่างๆ ที่เข้ามาภายในราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีสิ่งใดที่จะให้กระทรวงมหาดไทยร่วมสนับสนุนเพื่อบังเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนชาวไทย และพลเมืองสหรัฐอเมริกาในอนาคต อาทิ การแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรักษาโลกใบเดียวของเราให้คงอยู่ และการสนับสนุนการจำหน่ายหัตถกรรม หัตถศิลป์ ภูมิปัญญาผ้าทอไทย เพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนผู้ทอผ้าในพื้นที่ชนบทของประเทศไทยให้ดีขึ้น และในด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ยั่งยืน”.