29 ปี ไม่มีอะไรเปลี่ยน "วรรณวิภา" ร้องเพิ่มวันลาคลอด เนื่องใน "วันสตรีสากล" ย้ำ สตรีผู้ใช้แรงงาน ต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม ด้าน "ธัญวัจน์" เผย กฎหมายแรงงานในไทย ยังไม่ครอบคลุมผู้มีความหลากหลายทางเพศ
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 65 วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนเเรงงาน พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ พรรคก้าวไกล ร่วมวงเสวนาในหัวข้อ ‘พ่อแก่ เเม่ป่วย ลูกเล็ก มองขาดปัญหาฉุดรั้งความก้าวหน้าทางการงานของสตรี’ ที่จัดโดย ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคตพรรคก้าวไกล (Think Forward Center) เนื่องในวันสตรีสากล
วรรณวิภา กล่าวถึงบทบาทของผู้ใช้แรงงานว่า ในปัจจุบันยังคงได้รับผลกระทบจากกฏหมายผู้ใช้แรงงานที่กดทับเเละลิดรอนสิทธิเเละเสรีภาพ หากถามว่าในที่ 8 มี.ค. 65 ซึ่งเป็น "วันสตรีสากล" คิดถึงอะไร เรายังคงเห็นภาพของสตรีผู้ใช้แรงงานที่มีภาระในด้านการเลี้ยงดูบุตรและเลี้ยงดูบิดามารดา ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวกับการจ้างงานในประเทศไทยในปัจจุบัน เพราะหากเราเป็นผู้หญิงหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ต้องการที่จะหางานทำดีๆ ในสังคม จะพบว่ามีข้อจำกัดอย่างหลากหลายที่ทำให้แรงงานสตรีส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากไปทำงานในธุรกิจสิ่งทอ เพราะเป็นกิจการที่รับสตรีมากกว่ากิจการในประเภทอื่น แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ธุรกิจกิจสิ่งทอเริ่มปิดกิจการมากขึ้น จึงส่งผลกระทบให้แรงงานกลุ่มนี้กลายเป็นเเรงงานนอกระบบ ทำให้เสียทั้งงานและรายได้ที่มั่นคง
“เมื่อนึกถึงวันสตรีสากล เรายังนึกถึงการต่อสู้ของผู้หญิงที่เกี่ยวกับวันลาคลอด ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ที่แรงงานหญิงเรียกร้องเรื่องนี้ในวันสตรีสากล จนทำให้มีวันลาคลอดจากเดิม 60 วัน เป็น 90 วัน สิทธินี้ได้มาจากการเรียกร้องจากสตรีมีครรภ์ที่ต้องออกไปประท้วง กรีดเลือด อดข้าว จนได้สิทธิวันลาคลอดได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เราได้วันลาคลอดเพิ่มให้เป็น 98 วัน แต่มีข้อแม้ว่า 8 วันนั้น ไม่ระบุว่าจะได้รับค่าจ้างจากนายจ้างหรือไม่ กลายเป็นไม่มีประโยชน์ไป เพราะเมื่อใช้สิทธิลา แต่หากไม่ได้รับค่าชดเชย พวกเขาก็เลือกที่จะลาเพียง 90 วันเหมือนเดิม สะท้อนให้เห็นว่า 29 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเปลี่ยนเลยด้านวันลาคลอด” วรรณวิภา กล่าว
วรรณวิภา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาโดยรวมของการจ้างงานในปัจจุบันหลักๆ มี 3 ส่วน คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ซึ่งเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อน ดังนั้นนอกจากกฎหมายคุ้มครองเเรงงาน ยังพบว่าปัญหาสำคัญคือการบังคับการใช้กฎหมายอย่างจริงจังในประเทศไทย บางข้อตัวกฎหมายมันดีอยู่แล้ว แต่เราไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง อย่างกรณีหนึ่งที่แรงงานถูกเหล็กเสียบร่างกายระหว่างการทำงานจนเสียชีวิต พบว่ามีอายุเพียง 16 ปี นี่คือสิ่งที่สะท้อนว่าโครงสร้างของแรงงานยังไม่มีระบบ ทำให้ยังเกิดการจ้างงานที่ผิดกฎหมาย หรือยังคงมีการใช้แรงงานเด็กที่อายุไม่ถึง 18 ปี ที่ไม่มีสวัสดิการรองรับ และเรายังพบการละเมิดในการจ้างงานเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
“พรรคก้าวไกล เล็งเห็นปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่สมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ จึงมีการยกร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และได้ยื่นซ้ำอีกครั้งหลังจากฉบับก่อนถูกนายกรัฐมนตรีใช้เทคนิคทางกฎหมายปัดตกไป เราจะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้นโนบายของผู้ใช้เเรงงานเป็นจริง ทั้งสิทธิวันลาคลอดต้องไม่น้อยกว่า 180 วัน สิทธิค่าแรง ค่าล่วงเวลาต่างๆ และห้ามเลือกปฏิบัติทั้งในเรื่องของเพศสภาพ”
วรรณวิภา ยังย้ำว่า รัฐบาลจะต้องแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้เป็นปัจจุบัน ต้องเพิ่มในเรื่องของสวัสดิการถ้วนหน้า ทั้งวัยทำงาน ผู้สูงอายุ เด็ก สตรี และควรแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ควรรับอนุสัญญา ILO ข้อที่ 87 และ 98 เพื่อให้เเรงงานมีสิทธิจัดตั้งสหภาพเเรงงานได้อย่างถูกต้องและแข็งแรงตามกฎหมาย ซึ่งกลไกที่เราปฏิเสธนี้ทำให้โดนตัดสิทธิ GSP จากสหรัฐฯ เนื่องจากถูกมองว่าละเมิดสิทธิแรงงานด้าน รวมถึงการค้ามนุษย์ แนวทางที่กล่าวมานี้สามารถทำได้ทันทีด้วยมติ ครม. ไม่ต้องใช้งบประมาณ และจะเป็นผลดีต่อการสร้างงานในอนาคต ทั้งยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในไทยได้
...

ขณะที่ ธัญวัจน์ กล่าวถึงประเด็นการเลือกปฏิบัติที่กดทับของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ว่า การจ้างงานในปัจจุบันยังอยู่ในกรอบดั้งเดิมที่สังคมกำหนด คือ การแบ่งเป็นสองเพศเท่านั้น และยังอยู่ในกรอบที่มองว่าเพศชายเป็นช้างเท้าหน้า เพศหญิงเป็นช้างเท้าหลัง คุณค่าความชายหญิงที่สังคมให้ มีความเป็นมนุษย์ไม่เท่ากัน ทำให้มองคุณค่าทางเศรษกิจไม่เท่ากันด้วย เมื่อถามว่าเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศอย่างไร จึงย้อนกลับไปที่สังคมให้คุณค่าของเพศทางสังคม อาทิ หญิง ชาย เพศที่สาม กลุ่มรักข้ามเพศ เท่ากันหรือไม่ เมื่อไม่เท่ากันจึงนำไปสู่การเลือกปฏิบัติในกลุ่มผู้มีความหลากหลายด้วย
“ขอถามว่า ขณะนี้เรามีบุคคลข้ามเพศเป็นผู้บริหารมากน้อยแค่ไหนในสังคม ทั้งที่เขาเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้หญิงชาย ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนข้ามเพศในสังคม และต้องขอถามว่า ในปัจจุบันกฎหมายแรงงงานมีการออกแบบเพื่อรองรับต่อกลุ่มคนข้ามเพศบ้างหรือไม่ เราเห็นเรื่องเหล่านี้แล้วในหลายประเทศ แต่ในไทยยังไม่ชัดเจน หลายอย่างยังเป็นความเหลื่อมล้ำที่หาทางออกไม่เจอ นอกจากนี้อีกสิ่งสำคัญคือ เราอยากเห็นเรื่องสมรสเท่าเทียมที่กลุ่ม LGBTQ+ สามารถได้สิทธิเเละเสรีภาพในการดูแลมรดกของคู่ชีวิตในการดูแลกันและกันได้ เรื่องความเหลื่อมล้ำยอมรับว่ามันฝังรากลึก แต่มันกัดกินสังคมไทย เราต้องทำให้เกิดการสร้างงานโดยการไม่เลือกปฏิบัติในทุกเพศสภาพ การดูเเลความมั่นคงของมนุษย์ต้องอยู่ภายใต้ความสร้างสรรค์ สร้างเศรษฐกิจและสังคมท่ามกลางวัฒนธรรมที่รุ่มรวย เพื่อเป็นมูลค่าในอนาคต” ธัญวัจน์ กล่าว.