กลิ่นอายเลือกตั้งใหญ่โชยแตะจมูกนักการเมืองชัดขึ้นอีกระดับ กกต.คลอดพิมพ์เขียวแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และจำนวนประชาชนแต่ละเขตเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลแบ่งเขตเลือกตั้งและทะเบียนราษฎรชุดใหม่พร้อมแกะกล่องใช้งาน เหลือแค่รอเสียงนกหวีดเป่าเริ่มการแข่งขันเท่านั้น
แต่สนามที่ล่วงหน้าไปรอก่อนแล้วคือ สังเวียนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ค่อนข้างลงตัว ได้ไทม์ไลน์กาบัตรเดือน พ.ค.นี้ รอแค่ให้ กกต.วงปฏิทินวันเวลาเข้าคูหาอย่างเป็นทางการอีกรอบ
ไฟต์บังคับเลือกพ่อเมือง กทม.สับขาหลอกต่อไปไม่ไหว ถูกนำมาใช้คั่นรายการ หลังเมืองกรุงเว้นวรรคเลือกผู้ว่าฯ จากการเลือกตั้งมา 5 ปีกว่า แม้รู้ตกเป็นรองหลายขุม แต่จำเป็นต้องเสี่ยง แลกยืดอายุรัฐบาลเรือเหล็กผุๆ
อย่างน้อยก็ช่วย “ยื้อยุทธ์” ใช้ทอดเวลาการยุบสภา หรือลาออกของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่กำลังเดินบนเส้นด้าย
ตามสัญญาณการเพลี่ยงพล้ำศึกเลือกตั้งซ่อม 3 สนามติด ล่าสุดการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 9 ที่คำตอบจากปลายปากกาของชาวหลักสี่-จตุจักร ยี้ยี่ห้อพลังประชารัฐ ลอยแพ “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครของพรรค พ่ายแพ้ยับเยิน หล่นไปอยู่อันดับ 4 ได้ไม่ถึง 8,000 คะแนน
แม้กระทั่งในดงของตายอย่างหน่วยเลือกตั้งในพื้นที่ทหาร ก็ยังเสียท่าพลาดพลั้งให้ คู่แข่ง
บ่งบอกชัดเจนเรตติ้งนายกฯ และพรรคพลังประชารัฐกู่ไม่กลับ ดังนั้นสนามเลือกตั้ง
ผู้ว่าฯ กทม. เดือน พ.ค.นี้ ไม่ต้องให้เซียนกูรูฟันธง ใครๆก็เดาใจคนกรุงล่วงหน้าได้
แนวโน้มพลังประชารัฐดำดิ่งต่อเนื่อง มีโอกาสสูงปราชัย 4 สนามรวด อาจปรับแผน ไม่ส่งคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรค เปลี่ยนวิธีไปสนับสนุนผู้สมัครฯรายอื่นแทน
...
ชื่อ “บิ๊กตู่” ขายออกลำบาก ฝืนใช้โลโก้ลุงลงสนาม ก็ปิดประตูชนะ
พรรคแกนใหญ่ฝ่ายรัฐบาลระส่ำระสายหนัก อย่างที่ผู้นำฝ่ายค้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ทีถากถางค่ายพลังประชารัฐอาจเป็นพรรคต่ำกว่า 50 ในการเลือกตั้งรอบหน้า
เคลมผลงานความสำเร็จเลือกตั้งซ่อม กทม.ใหญ่โต เป็นชัยชนะฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นสารตั้งต้นไปสู่การทำแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า
สอดรับเสียง “ลุงโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยประโคมขยายความ รัฐบาลกำลังอ่อนแอ ไม่น่าจะอยู่ได้นาน สบจังหวะกระทุ้ง “ลุงตู่” รีบยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ
เพื่อไทยเหมือนมวยได้น้ำกำลังคึกคัก เตรียมขยายผลลากไส้รัฐบาลในการอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 วันที่ 17-18 ก.พ.นี้ แม้จะไม่มีการลงมติ แต่ก็ใช้เป็นเวทีหลอกด่า ประจานความล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดินของ “บิ๊กตู่” ทั้งเรื่องของแพง โรคระบาด การทุจริต
ซ้ำเติมภาพลักษณ์รัฐบาลให้หมดราคาในสายตาประชาชนหนักยิ่งขึ้น
ผู้นำตกที่นั่งอันตรายทั้งในสภาและนอกสภา นอกจากต้องระวังฝ่ายค้านที่ปูพรมรุกหนัก และยังต้องระแวงฝ่ายแค้น อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังอุบไต๋จะยืนอยู่ฝั่งไหน หลังนำทีม 20 ส.ส. ดีดตัวออกจากต้นสังกัดเดิม
ผู้กองเดินเกมสร้างความคลุมเครือให้จับทางไม่ถูก เพราะ 21 เสียงฝ่ายกบฏ พร้อมเป็นจุดเปลี่ยนรัฐบาล หากไปปักหมุดกับฝ่ายเดิม เรือเหล็กก็แล่นต่อได้ ถ้าไปร่วมกับฝ่ายค้าน เสียงรัฐบาลก็ยิ่งปริ่มน้ำ เสถียรภาพง่อนแง่น
หรือหากเล่นบทแทงกั๊ก ก็ต้องมาลุ้นใจหายใจคว่ำเป็นจ๊อบๆว่า การโหวตโหมดสำคัญจะเลือกข้างฝ่ายใด
“บิ๊กตู่” ก็ประเมินลำบาก เดาใจไม่ออก ร.อ.ธรรมนัสจะเลือกข้างฝ่ายใด ถูกเล่นเกมบีบให้ยอมจำนน ตั้งโต๊ะเจรจาข้อต่อรองต่างๆ
ถ้าเจรจาไกล่เกลี่ยคู่กรณีไม่บรรลุผล ค่ายพลังประชารัฐอาจทรุดหนัก กลุ่มก๊วนต่างๆอาจย้ายวิกหนีอีกเยอะ ไม่อยู่ตายรังตามสถานการณ์ในพรรคที่แย่ลงทุกขณะ
อนาคตพลังประชารัฐ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “บิ๊กตู่” จะกล้าแตกหัก ยอมพังทั้งกระดาน หรือเลือกประนีประนอม ลงเรือลำเดียวกับคู่กรณีต่อไป
เกมที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นผู้เลือกเส้นทางว่า ชะตาพรรคพลังประชารัฐจะได้ไปต่อ หรือเป็นแค่พรรคเฉพาะกิจ มีจุดจบเหมือนพรรคสามัคคีธรรม.
ทีมข่าวการเมือง