โดยปกติพรรคการเมืองไทย เกิดขึ้นมาเพื่อสนองการเลือกตั้ง จึงมักจะมีพรรคเกิดขึ้นมากมาย คล้ายกับดอกเห็ดในหน้าฝน ในทุกครั้งที่จะมีการเลือกตั้ง แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงฤดูกาลการเลือกตั้ง ยังมีเวลาอีกปีเศษ สภาผู้แทนราษฎรจึงจะครบวาระในเดือนมีนาคม 2566 แต่มีพรรคใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายเพื่อสู้เลือกตั้ง

พรรคใหม่ๆที่เกิดขึ้นดูทรงแล้วไม่ธรรมดา ไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นพรรคเล็กพรรคจิ๋ว ที่มี ส.ส.ต่ำห้าหรือต่ำสิบ แต่มีเป้าหมายจะเป็นพรรคใหญ่ หรืออย่างน้อยก็เป็นพรรคขนาดกลาง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยสร้างไทย พรรคกล้า พรรคสร้างอนาคตไทย หรือแม้แต่พรรคเศรษฐกิจไทยของ ส.ส.ที่ถูกขับจาก พปชร.

เมื่อรวมกับพรรคอื่นๆทั้งเก่าและใหม่ อาจทำให้มีกว่าสิบพรรคที่ลงแข่งขันการเลือกตั้งคราวหน้า และถึงแม้จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ จากการใช้บัตรเลือกตั้ง ส.ส. 1 ใบ เป็น 2 ใบ ก็ยังเชื่อว่าจะมีผู้สมัครจากหลายสิบพรรคได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภา และเป็นไปได้ยากที่จะมีพรรคใดชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

เป็นไปได้ยากที่จะมีพรรคใดชนะเลือกตั้งแบบฟ้าถล่มดินทลาย ได้เสียงข้างมากพรรคเดียวในสภา สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือรัฐบาลผสมน้อยพรรค ผลการเลือกตั้งอาจทำให้พรรคเล็กหรือพรรคจิ๋วที่ได้ ส.ส.แค่คนเดียวหรือต่ำห้าลดลงไป อาจมีพรรคที่ได้ ส.ส.เกินสิบคนมากขึ้น แต่ยังต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค

ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา ล้วนแต่ปรารถนาให้มีพรรคการเมืองน้อยที่สุด เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือน้อยพรรคที่สุดเพื่อความเป็นเอกภาพ ความมั่นคงของรัฐบาล เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการ บริหารประเทศ และแก้ปัญหาของประเทศ ตามนโยบายที่สัญญากับประชาชน โดยไร้ความขัดแย้ง

แต่ระบบพรรคการเมืองของไทย มักจะเป็นระบบหลายพรรค บางยุคบางสมัยจัดตั้งรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ เอาแต่ทะเลาะกัน จนไม่เป็นอันบริหารประเทศ กลายเป็นข้ออ้างของนักรัฐประหาร เพื่อใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต่างจากประเทศที่พัฒนาทั้งหลาย ที่มีน้อยพรรค เช่น อังกฤษ เยอรมนี สแกนดิเนเวีย

...

ในบางช่วงเวลาพรรคการเมืองของไทยได้พัฒนาสู่ระบบน้อยพรรค เป็นการต่อสู้ระหว่างสองพรรคมากขึ้น แต่พรรคที่ชนะเลือกตั้งบ่อย ถูกกล่าวหาเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะยังมีพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งพอที่จะตรวจสอบและถ่วงดุลแต่รัฐธรรมนูญ 2560 อาจจงใจให้มีมากพรรค ได้รัฐบาลที่ขัดแย้งและอ่อนแอ.